การศึกษาทางระบาดวิทยามีกี่รูปแบบ

52 การดู

ระบาดวิทยา: รูปแบบการศึกษา

การศึกษาทางระบาดวิทยามีหลายรูปแบบหลัก ๆ ได้แก่:

  • Cross-sectional Study: ศึกษา ณ จุดเวลาหนึ่ง เพื่อหาความชุกของโรค/ภาวะ

  • Case-Control Study: ศึกษาแบบย้อนหลัง เปรียบเทียบกลุ่มผู้ป่วยกับกลุ่มควบคุม

  • Cohort Study: ศึกษาแบบไปข้างหน้า ติดตามกลุ่มคนเพื่อดูการเกิดโรค

  • Intervention Study: ศึกษาโดยการแทรกแซง เช่น Randomized Controlled Trial (RCT) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของการรักษา/ป้องกัน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

การศึกษาทางระบาดวิทยา มีกี่แบบ และแบบไหนบ้าง?

โอเค มาๆ เรื่องระบาดวิทยาเนี่ย ตอนเรียนปวดหัวใช้ได้เลยนะ

คือมันมีหลายแบบอ่ะ ถ้าจำไม่ผิดนะ ที่เจอๆ บ่อยก็มีพวก cross sectional study ที่เค้าเรียกกันว่า prevalence study นั่นแหละ คือเหมือนถ่ายรูป snapshot สถานการณ์ ณ จุดๆ นึงอ่ะ แล้วก็มี case control study อันนี้เหมือนตามสืบสวนย้อนหลัง (retrospective study)

ส่วน cohort study เนี่ย จะเหมือนตามไปดูข้างหน้า (prospective study) ว่าใครจะเป็นอะไรยังไง แล้วก็ intervention study อันนี้เหมือนทดลองยาหรืออะไรทำนองนั้นอ่ะ ที่เป็น randomized controled trial (RCT)

แต่เอาจริงๆนะ เรียนไปก็งงๆ ตอนทำงานจริงมันซับซ้อนกว่าเยอะเลย ไม่ได้มีแค่สี่แบบนี้หรอก มันมีผสมๆ กันไปอีกเยอะแยะ

เอาจริงๆ ตอนนั้นที่ฝึกงานที่โรงพยาบาล…จำไม่ได้ว่าโรงพยาบาลอะไร… น่าจะแถวๆ สมุทรปราการ เมื่อปี 2558 เห็นพี่ๆ เค้าทำวิจัยกัน ปวดหัวแทนเลย คือมันต้องเก็บข้อมูลเยอะมาก แล้วต้องมานั่งวิเคราะห์อีก

จำได้ว่าตอนนั้นกินกาแฟไปวันละ 3 แก้วได้มั้ง ถึงจะรอด 555+

สรุปคือมันมีหลายแบบแหละ แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากรู้เรื่องอะไร

รูปแบบการศึกษาทางระบาดวิทยา มีอะไรบ้าง

เอ้าเฮ้ย! ถามเรื่องระบาดวิทยาเหรอ นึกว่าถามเรื่องหวย… งั้นมาดูกัน ไอ้รูปแบบการศึกษาที่ว่า มันมีอะไรบ้างเนี่ย:

  • รายงานผู้ป่วย (Case Report) กับ รายงานกลุ่มผู้ป่วย (Case Series): อันนี้เหมือนซุบซิบชาวบ้าน! เจอเคสแปลกๆ ก็เม้าท์กันไป เล่าสู่กันฟัง ข้อมูลอาจจะไม่ปึ้ก แต่ก็จุดประกายให้คนสงสัยได้

  • การศึกษาภาคตัดขวางเชิงพรรณนา (Cross-sectional Descriptive Study): เหมือนแอบส่องชีวิตคนทั้งหมู่บ้าน! วันเดียวเก็บข้อมูลหมด จบ! แต่บอกไม่ได้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังนะเออ

  • การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา (Retrospective Descriptive Study): อันนี้เหมือนนั่งไทม์แมชชีน! ถามคนแก่แถวบ้านว่าเมื่อก่อนกินอะไร ทำไมถึงเป็นโรคนี้ แต่ระวังโดนแกงนะ เพราะคนแก่บางทีก็ขี้ลืม!

  • การศึกษาไปข้างหน้าเชิงพรรณนา (Prospective Descriptive Study): อันนี้เหมือนเลี้ยงเด็กแล้วตามดูพัฒนาการ! เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อยมาวิเคราะห์ สรุปผล ช้าแต่ชัวร์!

เพิ่มเติม:

  • จริงๆ แล้วมันมีการศึกษาที่ซับซ้อนกว่านี้อีกเยอะ แต่เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะงงกันไปใหญ่!
  • การศึกษาพวกนี้สำคัญนะเฟ้ย! เพราะมันช่วยให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรในโลกของโรคภัยไข้เจ็บ
  • อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องดูข้อมูลให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจนะจ๊ะ!

คำเตือน: อย่าเอาไปอ้างอิงในการรักษาโรคเองนะเว้ย! ไปหาหมอดีกว่า!

ระบาดวิทยาแบ่งรูปแบบการศึกษาได้กี่แบบ

เอ่อ… ระบาดวิทยาเนี่ยนะ อืมมม มีกี่แบบหว่า? ที่เรียนๆ มาอ่ะนะ อ๋อ! นึกออกละ มันมี…

  • Cross sectional Study (Prevalence Study) นี่ไง! เค้าชอบเรียกกันว่า การศึกษาภาคตัดขวาง เนาะ
  • Case Control (Retrospective Study) อันนี้แบบศึกษาจากอดีต ใช่ป่ะ? เหมือนสืบสวนสอบสวน
  • Cohort Study (Prospective Study) อันนี้ติดตามไปข้างหน้า เรื่อยๆ เลยนะเนี่ย
  • Intervention Study : Randomized Controled Trial อันนี้แบบทดลอง อ่ะ แรนดอมด้วยนะเฟ้ย!

สรุป: มี 4 แบบป่ะวะ? ชักไม่แน่ใจแฮะ เรียนมานานแล้ว เริ่มเลือนๆ แต่ที่แน่ๆ ต้องจำชื่อภาษาอังกฤษให้ได้ สำคัญมาก! ทำไมต้องจำ? เออ… นั่นดิ ทำไมวะ? ช่างแม่ง!

เพิ่มเติม (เผื่อลืม):

  • Prevalence Study: ดูว่ามีคนเป็นโรคเท่าไหร่ ณ จุดๆ หนึ่ง
  • Retrospective Study: ถามย้อนหลังว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน
  • Prospective Study: ตามดูไปเรื่อยๆ ว่าใครจะเป็นอะไรบ้าง
  • Randomized Controlled Trial: แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มนึงให้ยา อีกกลุ่มให้ยาหลอก แล้วดูผล

คำถามในใจ: ไอ้ RCT เนี่ย มัน ethical เปล่าวะ? ถ้าเกิดยาที่ให้มันช่วยชีวิตได้จริงๆ แล้วอีกกลุ่มไม่ได้ล่ะ? โอ๊ย! ปวดหัว!

ข้อมูลส่วนตัว (ข้ามไปได้): ตอนสอบระบาดวิทยาได้ C+ โคตรเศร้า! แต่ไม่เป็นไร ชีวิตต้องสู้!

การศึกษาแบบ cohort มีกี่ประเภท

…สองประเภทเหรอ การศึกษาแบบ cohort…

เหมือนเรากำลังมองอะไรที่มันยาว ๆ อ่ะ

  • Prospective Cohort Study: คือตามไปข้างหน้า… มองไปข้างหน้าเสมอ… คอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น… เหมือนแอบมองชีวิตคนอื่นอย่างเงียบ ๆ

  • Retrospective Cohort Study: ย้อนกลับไปดู… ขุดคุ้ยเรื่องเก่า ๆ… เหมือนรื้อกล่องความทรงจำที่เต็มไปด้วยฝุ่น… แล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว

แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยนะ… เหมือนพยายามหาคำตอบที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่า…

บางที… การศึกษาพวกนี้… ก็เหมือนการพยายามเข้าใจตัวเอง… เข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้… เข้าใจว่าอะไรทำให้เรามาถึงจุดนี้… ทั้ง ๆ ที่บางที… คำตอบมันอาจจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้นก็ได้

Type of study มีอะไรบ้าง

โอเค เข้าใจแล้ว จะลองเล่าแบบที่ว่ามานะ เหมือนคุยให้เพื่อนฟังเลย

ตอนเรียนระบาดวิทยา อาจารย์สอนเรื่อง Type of study นี่แหละ จำได้ว่าตอนนั้นงงมากกกก (ก.ไก่ ล้านตัว) เพราะมันเยอะแยะไปหมด แต่พอทำงานจริงถึงรู้ว่าสำคัญสุดๆ

  • การศึกษาเชิงสังเกต (observational study): คือการที่เราไป “แอบ” ดูเขาเฉยๆ ไม่เข้าไปยุ่งอะไรเลย ไม่ได้ไปเปลี่ยนอะไรในชีวิตเขา แค่ไปสังเกตการณ์ เหมือนส่องนกอะ (เอ๊ะ หรือเปรียบเทียบไม่ดี 555)

    • การศึกษาเชิงพรรณนา (descriptive study): อันนี้คือขั้นเบสิกสุดๆ แค่บรรยายว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน เมื่อไหร่ ใครเป็นยังไง เช่น สมมติอยากรู้ว่าคนกรุงเทพฯ เป็นโรคอะไรกันเยอะสุด ก็ไปเก็บข้อมูลมา แล้วก็บอกว่า “โอเค ปีนี้คนกรุงเทพฯ เป็นไข้หวัดใหญ่เยอะสุดนะ” จบ!
    • การศึกษาเชิงวิเคราะห์ (analytic study): อันนี้คือเริ่ม “วิเคราะห์” ละ ว่าอะไรมัน “เกี่ยว” กับอะไร เช่น “คนที่กินผักเยอะๆ มีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่กินผักน้อย” คือหาความสัมพันธ์ ไม่ได้แปลว่ากินผักแล้วจะไม่เป็นมะเร็งนะ แค่ “เกี่ยว” กันเฉยๆ เข้าใจปะ?
  • การศึกษาเชิงทดลอง (experimental study): อันนี้คือ “ของจริง” ละ คือเราเข้าไป “ทำ” อะไรบางอย่างกับเขา แล้วดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เช่น ทดลองวัคซีนไง! แบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มนึงฉีดวัคซีน อีกกลุ่มฉีด placebo แล้วดูว่าใครติดโรคมากกว่ากัน อันนี้แหละคือ Experimental study

พูดถึงเรื่องวัคซีน นี่นึกถึงตอนฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกเลย ตอนนั้นกลัวมากกก กลัวผลข้างเคียง แต่ก็ต้องฉีด เพราะอยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (อันนี้คือแถมนะ เกี่ยวป่าววะ 555)

ข้อมูลเพิ่มเติม (เผื่อใครอยากรู้ลึก):

  • Observational study: เหมาะกับการศึกษาในวงกว้าง หรือเมื่อเราไม่สามารถเข้าไป “ยุ่ง” อะไรกับชีวิตคนได้ (เช่น การศึกษาผลกระทบของมลพิษ)
  • Experimental study: เหมาะกับการศึกษาที่ต้องการ “พิสูจน์” ว่าอะไรมัน “เป็นเหตุเป็นผล” กันจริงๆ (เช่น การทดลองยาใหม่) แต่ต้องระวังเรื่องจริยธรรมด้วยนะ!

สรุป: ทั้งหมดนี้คือ Type of study ที่สำคัญมากๆ ในการทำวิจัยทางระบาดวิทยา ถ้าเข้าใจคอนเซปต์พวกนี้ จะช่วยให้เราอ่านงานวิจัยได้ “รู้เรื่อง” มากขึ้นเยอะเลย

ปล. นี่เล่าแบบเพื่อนคุยให้ฟังจริงๆ นะ อาจจะดูมั่วๆ ไปบ้าง แต่หวังว่าคงเข้าใจนะ! 5555

การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนามีประโยชน์อย่างไร

  • ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ประโยชน์? กระจายโรค! แนวโน้ม! ในชุมชน! สำคัญนะวางแผนบริการหมออนามัย!

  • เบื้องต้น…ได้ข้อมูลเบื้องต้นไง! หาเหตุโรค! ตั้งสมมติฐาน! ก้าวต่อไป! เอ่อ ใช่ไหมนะ 🤔

  • แนวโน้มโรค สำคัญสุด! ย้ำ! ย้ำ!

  • เคยเห็นกราฟ…เส้นมันขึ้นๆลงๆ อ่ะ นั่นแหละแนวโน้ม! อ้อ…แล้วก็ต้องดู พื้นที่ ด้วยนะ สำคัญ!

  • การกระจาย ก็สำคัญไม่แพ้กัน! ใครเป็นบ้าง? ที่ไหน? เมื่อไหร่? ถามตัวเองเยอะๆ

  • แอบงง…แต่ช่างมันเถอะ! 🤪 แค่เข้าใจว่ามันช่วยวางแผนได้ก็พอ! จบ!

Case control กับ cohort ต่างกันอย่างไร

โอเค จัดไป! Case-control กับ Cohort นะ…​ ต่างกันไงวะเนี่ย

  • Case-control: ย้อนหลัง หาสาเหตุจาก คนป่วย (case) เทียบกับ คนไม่ป่วย (control) // คิดดูดิ มีคนเป็นมะเร็งปอด เราก็ไปถามว่าสูบบุหรี่รึเปล่า? แล้วเทียบกับคนไม่เป็น
  • Cohort: ไปข้างหน้า ตามดู คน ที่มีปัจจัยเสี่ยง กับ คน ที่ไม่มี แล้วดูว่าใครป่วย // เหมือนตามดูคนสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ ว่าสุดท้ายใครเป็นมะเร็งปอดบ้าง?

แล้วงานวิจัยแต่ละแบบมันยังไงนะ?

  • Case Control: ศึกษา กลุ่มเล็ก ได้ ผลเร็ว แต่เสี่ยง bias เพราะถามความทรงจำคนไข้ + หาเหตุย้อนหลัง (ไก่เกิดก่อนไข่?)
  • Cohort: ต้อง กลุ่มใหญ่ รอนานกว่าจะเห็นผล แต่ น่าเชื่อถือ กว่า เพราะตามดูไปข้างหน้า // เคยทำโปรเจคจบแบบนี้ โคตรนานอ่ะ

Case-Control vs. Cohort ต่างกันยังไงอีก?

  • Case-control: เหมาะ กับโรคที่ หายาก // เพราะถ้าจะรอให้คนเป็นโรคหายากใน cohort คงชาติหน้า
  • Cohort: เหมาะ กับการศึกษา หลายผลลัพธ์ จากปัจจัยเสี่ยงเดียว // สูบบุหรี่แล้วเป็นอะไรได้บ้าง? มะเร็งปอด หัวใจ ถุงลมโป่งพอง บลาๆๆ

สรุป ง่ายๆ: Case-control = ย้อนหลัง, Cohort = ไปข้างหน้า จบ!

เพิ่มเติม: Bias คืออะไร? คือความ ลำเอียง ที่ทำให้ผลวิจัยคลาดเคลื่อน เช่น Recall bias (จำไม่แม่น) Selection bias (เลือกกลุ่มตัวอย่างไม่ดี) // เคยเจอแต่ Confirmation bias คืออยากได้ผลแบบที่คิดไว้แล้วอ่ะ!

เพิ่มเติมอีก: แล้ว Prospective กับ Retrospective cohort ต่างกันยังไง? Prospective คือตามดู ไปข้างหน้า จริงๆ ส่วน Retrospective คือ ใช้ข้อมูลเก่า ที่มีอยู่แล้วมาวิเคราะห์ // เหมือนขุดข้อมูลเก่าในโรงพยาบาลมาทำวิจัยอ่ะมั้ง?

คำถาม: แล้ว cross-sectional ล่ะ? นั่นมันอีกเรื่องเลยปะ? // เออ นั่นสิ

รูปแบบการวิจัยประเภทใดที่ให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือมากที่สุด

เอ่อ… เรื่องงานวิจัยน่ะนะ ที่ว่าอันไหนน่าเชื่อถือสุด… มันตอบยากเหมือนกันนะ

คือ… มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก ว่าต้องแบบไหนถึงจะ “ชัวร์” เพราะแต่ละงานมันก็มีคำถามของมัน มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน

  • เชิงปริมาณที่คุมตัวแปรดี ๆ: อันนี้ก็ดูน่าเชื่อถือ เพราะมันวัดได้ จับต้องได้ แต่บางที… มันก็อาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป

  • เชิงคุณภาพที่เจาะลึก: อันนี้มันลงลึกจริง แต่… มันก็อาจจะขึ้นอยู่กับมุมมองของคนวิจัยมากไปหน่อย

จริง ๆ แล้ว… มันอยู่ที่การออกแบบมากกว่า ว่าเราเลือกวิธีที่เหมาะกับคำถามที่เราอยากรู้รึเปล่า แล้วก็… เราเก็บข้อมูลมาดีแค่ไหน มีอคติรึเปล่า

เหมือน… เราจะทำอาหารสักจานนึงน่ะแหละ ไม่มีสูตรไหนที่อร่อยที่สุดเสมอไป มันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เรามี แล้วก็… รสมือของเราด้วย

แล้วก็… เรื่องขนาดตัวอย่างสำคัญนะ น้อยไปก็ไม่เห็นภาพรวม มากไปก็… เหนื่อยเปล่า ๆ

  • ขนาดตัวอย่าง: สำคัญมาก… น้อยไปก็เหมือนมองโลกผ่านรูเข็ม

  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ต้องแม่นยำ… ไม่ใช่แค่ใส่ตัวเลข แต่ต้องเข้าใจมันด้วย

สรุปก็คือ… ไม่มีอะไรที่ “ที่สุด” หรอก มันอยู่ที่ความเหมาะสม แล้วก็… ความละเอียดรอบคอบของเรามากกว่า อืม… แค่นั้นแหละมั้ง

บางที… เราก็อยากได้อะไรที่มัน “ชัวร์” ไปเลยเนอะ แต่มันก็คงไม่มีหรอก… ในโลกนี้

แบบวิจัย (Research Design) คืออะไร

แบบวิจัย (Research Design) คืออะไร

เอิ่ม… แบบวิจัยนี่นะ เหมือน… แผนที่? ไม่สิ เหมือนพิมพ์เขียว! ใช่ๆ พิมพ์เขียวสร้างบ้าน! ต้องมีนะ ไม่งั้นเละ!

  • พิมพ์เขียววิจัย = วางแผน + จัดการโครงการวิจัย (ตั้งแต่ต้น…จนจบ!)

  • ปัญหาการวิจัย สำคัญสุด! (แล้วจะวิจัยอะไรถ้าไม่มีปัญหา?)

  • Punch (1998) นี่ใครอ่ะ? (เดี๋ยวไปหาข้อมูลเพิ่ม…ตอนท้ายนะ)

  • 4 แนวคิดหลัก (ต้องจำ!)

    • กลยุทธ์การวิจัย (จะบู๊หรือจะบุ๋น?)
    • กรอบแนวคิด (ทฤษฎีอะไรหนุนหลัง?)
    • ข้อมูล (หาจากไหน? ใครให้?)
    • เครื่องมือ (ใช้สถิติอะไร? SPSS? R?)
  • เก็บข้อมูล ยังไง? สัมภาษณ์? แบบสอบถาม? หรือขุดจาก internet?

  • วิเคราะห์ แล้วยังไงต่อ? สรุปผล! (ง่ายไปมั้ย?)

สรุปคือ… แบบวิจัย = พิมพ์เขียวสร้างงานวิจัย…จบนะ!

ข้อมูลเพิ่มเติม (เผื่อใครอยากรู้)

  • Punch (1998) David Punch นักวิจัยด้านการศึกษา (ค้น google มา)
  • SPSS vs R ชอบ R มากกว่า! (เพราะมันฟรี!)
  • การวิจัยเชิงคุณภาพ ก็มีแบบวิจัยนะ (ไม่ใช่แค่เชิงปริมาณ!)
  • จริยธรรมการวิจัย ห้ามละเลย! (สำคัญมาก!)
#ระบาดวิทยา #รูปแบบการศึกษา #วิธีการศึกษา