แรงจูงใจในการเรียนรู้มีอะไรบ้าง
แรงจูงใจในการเรียนรู้ สำคัญต่อความสำเร็จ มีหลายประเภทหลักๆ ดังนี้
-
ใฝ่สัมฤทธิ์: ต้องการความสำเร็จ ตั้งเป้าหมาย ทุ่มเท มุ่งผลลัพธ์ที่ดี
-
ใฝ่สัมพันธ์: ต้องการความสัมพันธ์ เรียนรู้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ ทำงานร่วมกับผู้อื่น
-
ใฝ่อำนาจ: ต้องการมีอิทธิพล ชอบควบคุม นำเสนอ แสดงความเป็นผู้นำ
-
ใฝ่ก้าวร้าว: ต้องการเอาชนะ แข่งขัน พิสูจน์ตัวเอง มุ่งเน้นการเอาชนะอุปสรรค
-
ใฝ่พึ่งพา: ต้องการการสนับสนุน คำแนะนำ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ต้องการความช่วยเหลือ
เข้าใจแรงจูงใจตนเอง เลือกวิธีเรียนรู้ที่เหมาะสม นำไปสู่ประสิทธิภาพสูงสุด
แรงจูงใจในการเรียนรู้ มีอะไรบ้าง?
แรงจูงใจในการเรียนรู้น่ะหรอ? มันก็มีหลายอย่างนะ ว่าแต่ถามทำไมเนี่ย? 😅
เอาจริงๆ นะ สมัยเรียนอ่ะ แรงจูงใจหลักๆ ของฉันคือกลัวโดนแม่ด่า (ฮา) ไม่ได้อยากเก่งอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ไม่อยากเห็นสีหน้าผิดหวังของแม่ก็พอแล้ว
แต่พอโตขึ้น แรงจูงใจมันก็เปลี่ยนไปนะ อย่างตอนนี้ เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ก็เพราะอยากเอาไปต่อยอดทำธุรกิจไง สมมุติว่าอยากขายของออนไลน์คล่องๆ ก็ต้องไปเรียนรู้เรื่อง SEO, การตลาดดิจิทัล อะไรพวกนั้นอ่ะ
แล้วก็มีพวกอยากเก่งกว่าคนอื่นด้วยนะ ยอมรับเลย (อันนี้แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ป่ะนะ?) แบบเห็นคนอื่นทำได้ เราก็อยากทำได้บ้าง ไม่อยากน้อยหน้าใคร
อ้อ! แล้วก็มีพวกอยากเข้าสังคมด้วยนะ เคยไปเรียนทำอาหาร เพราะอยากมีเรื่องคุยกับเพื่อนๆ มากกว่า ไม่ได้อยากเป็นเชฟอะไรขนาดนั้นหรอก
สรุปแล้ว แรงจูงใจมันก็แล้วแต่คน แล้วแต่ช่วงเวลาอ่ะนะ ไม่มีอะไรตายตัวหรอก
แรงจูงใจมีกี่แบบ
เรื่องแรงจูงใจนี่นะ ตอนเรียนป.โทที่จุฬาฯ ปี 2566 อาจารย์เค้าน่ะ ไม่ได้แบ่งแค่สองแบบอย่างที่เคยเรียนมา แกบอกว่ามันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ แล้วก็ยกตัวอย่างชีวิตจริงมาให้ฟังเพียบเลย จำได้แม่นเลย แกบอกว่ามันมีหลายมิติ ไม่ใช่แค่ใน-นอก อย่างผมนะ ตอนนั้นกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องการออกแบบเกม มันเหนื่อยมาก แทบจะท้อ แต่ก็ดันทำต่อได้เพราะอะไรรู้ไหม?
-
แรงจูงใจภายใน (Intrinsic): ความอยากรู้ อยากลอง อยากพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ นี่แหละ มันลึกๆ ในใจ ดันให้ผมไปต่อได้ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
-
แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic): ก็มีบ้าง อย่างเกรด อนาคตการงาน พวกนี้มันก็ผลักดัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ตัวหลัก ถ้าไม่มีแรงจูงใจภายใน แค่ภายนอกอย่างเดียว ผมคงทนไม่ไหวแน่ๆ
-
แรงจูงใจจากเพื่อน: นี่สำคัญมาก กลุ่มผมนั่งทำวิทยานิพนธ์ด้วยกัน เห็นเพื่อนๆ เค้าสู้ เค้าก็เลยดึงผมไปด้วย มีแรงกดดันแบบเพื่อนๆ ช่วยกัน ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
สรุปแล้ว มันไม่ได้แบ่งเป็นแค่สองแบบ ง่ายๆ หรอกนะ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ซับซ้อนกว่าที่คิดเยอะ บางที มันผสมปนเปกันไปหมด แล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่คนด้วย ตอนนั้นผมรู้สึกได้เลยว่า มันมีหลายอย่าง ผลักดัน ดึงดูด บีบคั้น ให้ผมทำวิทยานิพนธ์เสร็จ ปีนี้ จะจบป.โทแล้ว ดีใจมาก
การทำให้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนทำอย่างไร
เรื่องแรงจูงใจนี่นะ ปีนี้ผมสอนเด็กม.ปลายวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน เหนื่อยมากกกก เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนเลย ต้องใช้เทคนิคเยอะแยะ
อย่างแรกเลย สื่อการสอนต้องหลากหลาย พวกคลิปสั้นๆในยูทูปนี่ช่วยได้เยอะ แต่ต้องคัดเลือกดีๆนะ ผมใช้คลิปเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองของช่องHistory เด็กๆชอบมาก เห็นภาพสมจริงกว่าอ่านแต่ในหนังสือ
แล้วก็เรื่องการสื่อสาร สำคัญมาก! ผมจะพยายามพูดคุยกับเด็กๆเป็นรายบุคคล ไม่ใช่แค่บรรยายอย่างเดียว ถามความคิดเห็นบ้าง ให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็น บางทีก็แอบเล่าเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน ทำให้ดูไม่น่าเบื่อ
เทคนิคที่ใช้แล้วได้ผลดีคือ การสร้างความประหลาดใจ แบบไม่คาดคิด อย่างเช่น ปีนี้ผมเอาภาพถ่ายเก่าๆของเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มาให้เด็กดู พวกเขาตื่นตาตื่นใจมาก รู้สึกว่าได้สัมผัสประวัติศาสตร์จริงๆ
ส่วนการให้เด็กเลือกเรียนตามความสนใจนี่ ยากหน่อย เพราะหลักสูตรมันตายตัว แต่ผมพยายามแทรกกิจกรรมให้เขาได้เลือก เช่น ให้เลือกทำโครงงานเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจในประวัติศาสตร์ไทย ปีนี้มีเด็กคนหนึ่งทำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การ์ตูนไทย ผมก็ให้เขาทำ ผลงานออกมาดีมากเลย
- ใช้คลิปยูทูปช่อง History สอนประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง
- สื่อสารกับเด็กๆเป็นรายบุคคล ถามความคิดเห็น
- ใช้ภาพถ่ายเก่าๆของเหตุการณ์สำคัญ
- ให้เด็กเลือกทำโครงงานเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจในประวัติศาสตร์ไทย
เอาจริงๆนะ กว่าจะทำให้เด็กมีแรงจูงใจ ผมต้องใช้เวลาคิดวางแผนเยอะมาก บางทีก็เครียด แต่พอเห็นเด็กๆเรียนรู้ มีส่วนร่วม ก็รู้สึกคุ้มค่า แต่ก็เหนื่อยจริงๆนะ ปีหน้าคงต้องหาเทคนิคใหม่ๆเพิ่มอีก
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต