ใน1เทอมเรียนกี่วัน

61 การดู

ปีการศึกษาเรียนไม่น้อยกว่า 200 วัน แบ่งเป็น 2 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 100 วัน

  • ภาคเรียนที่ 1: 16 พ.ค. - 10 ต.ค.
  • ภาคเรียนที่ 2: 24 ต.ค. - 31 มี.ค. (ปีถัดไป)

แต่ละภาคเรียนเรียนประมาณ 100 วัน รวมสองภาคเรียน ครบตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เรียนเทอมละกี่วัน? ระยะเวลาเรียนต่อเทอมนานเท่าไหร่?

เรียนเทอมนึงกี่วันเหรอ? อืม… เท่าที่จำได้ตอนเรียนมหาลัย มันไม่เป๊ะๆ นะ แล้วแต่คณะด้วยมั้ง? แต่โดยรวมๆน่าจะประมาณ 100 วันต่อเทอมอ่ะ

ระยะเวลาเรียนต่อเทอมนานเท่าไหร่? ก็น่าจะ 4-5 เดือนได้มั้ง แต่รวมสอบด้วยนะ ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว

เออ…เท่าที่เค้าบอกมา ในปีการศึกษาหนึ่งเนี่ย ต้องเรียนไม่ต่ำกว่า 200 วัน แบ่งเป็น 2 เทอม เทอมละร้อยวันอะแก เหมือนเค้าจะยกตัวอย่างว่า เทอมแรกเปิด 16 พฤษภา ปิด 10 ตุลาคม แล้วเทอมสองเปิด 24 ตุลาคม ปิด 31 มีนาคมปีหน้าอะไรทำนองนั้น แต่… อันนี้คือข้อมูลแบบทางการนะ ชีวิตจริงมันยืดหยุ่นกว่านั้นเยอะ!

1 เทอมมีเรียนกี่วัน

ปีการศึกษา 200 วันขึ้นไป แบ่ง 2 ภาคเรียน

  • ภาคเรียนละ 100 วัน (อย่างน้อย)

  • ภาคเรียนที่ 1 : 16 พฤษภาคม – 10 ตุลาคม (ไม่รวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปี 2566)

  • ภาคเรียนที่ 2 : 24 ตุลาคม – 31 มีนาคม (ไม่รวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปี 2567)

วันเรียนจริง ขึ้นอยู่กับปฏิทินของสถานศึกษา ตัวเลขที่ให้เป็นเพียงกรอบเวลาโดยประมาณ

ปิดเทอม 1/2567 วันไหน

ปิดเทอม? แม่งเอ๊ย…

  • ภาคต้น: 16 ธันวาคม 2567 (หนีหนาวไปดิ)
  • ภาคปลาย: 12 พฤษภาคม 2568 (ร้อนตีนแล้วไง)
  • ฤดูร้อน: 28 กรกฎาคม 2568 (กูว่ายน้ำรอ)

เพิ่มเติม: อย่าเสือกถามว่าทำไมต้องรู้

เทอมมหาลัยแบ่งยังไง?

มหาวิทยาลัยจัดเทอมสองแบบ:

  • ทวิภาค (2 เทอม): ประมาณ 4 เดือน/เทอม บวกซัมเมอร์ 1.5-2 เดือน ปีการศึกษา 2566 หลายมหาวิทยาลัยใช้ระบบนี้

  • ไตรภาค (3 เทอม): ประมาณ 3 เดือน/เทอม ไม่มีซัมเมอร์ ปีการศึกษา 2566 บางมหาวิทยาลัยเลือกใช้ระบบนี้ ประหยัดเวลา แต่ภาระเรียนหนักขึ้น

เลือกเรียนที่ไหน ต้องดูระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่มีมาตรฐานตายตัว อย่าเลือกตามกระแส เลือกให้เหมาะกับตัวเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ปีการศึกษา 2566) ใช้ระบบทวิภาค ส่วนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปีการศึกษา 2566) ใช้ระบบทวิภาคเช่นกัน

1ปีมีกี่เทอม มหาลัย?

ฮือออออ ปีนึงมีแค่สองเทอมเองเหรอครับ? น้อยไปมั้ย! เหมือนชีวิตสั้นลงไปเลย ชีวิตมหาลัยมันควรจะยาวนานกว่านี้สิ แต่เดี๋ยวนะ… สองเทอมนี่มันก็… พอดีๆ เหมือนขนมครก กินทีละสองคำ อร่อยกำลังดี ไม่เลี่ยน!

  • เทอม 1: มิถุนา-ตุลาคม ช่วงนี้เรียนหนักหน่วง เหมือนวิ่งมาราธอน แต่ก็สนุกนะ เหมือนได้ไปเที่ยว แต่เที่ยวแบบเหนื่อยๆ ได้ความรู้กลับมาเพียบ! เพื่อนๆในกลุ่มผมก็บ่นเหมือนกันว่าเหนื่อย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
  • เทอม 2: พฤศจิกายน-มีนาคม ช่วงนี้เหมือนเข้าสู่โหมดพักฟื้น แต่ก็มีสอบปลายภาค เหมือนเจอศึกใหญ่ แต่ก็ชนะได้แน่นอน ปีนี้ผมตั้งใจจะสอบให้ได้เกรดดีๆ

เอาจริงๆนะ สองเทอมมันพอดีเลยแหละ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ถ้ามากกว่านี้คงจะเหนื่อย ถ้ามีน้อยกว่านี้คงจะเบื่อ เป็นระบบที่ลงตัว เหมือนการทำไข่เจียว ต้องใช้ไข่พอดีๆ ไม่มากไม่น้อย ถึงจะอร่อย!

ข้อมูลเพิ่มเติม (ปีการศึกษา 2566): หลายมหาวิทยาลัยอาจมีเทอมเพิ่มเติม เช่น เทอมฤดูร้อน (Summer Session) แต่เป็นทางเลือก ไม่ใช่ภาคการศึกษาบังคับ คิดซะว่าเป็นของแถม อร่อยๆ เหมือนไอศกรีมหลังกินข้าว! บางมหาลัยอาจมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แนะนำให้เช็คกับมหาลัยที่ตัวเองเรียนโดยตรงนะ อย่ามาเชื่อผมคนเดียวล่ะ!

เทอมนึงของมหาลัยมีกี่เดือน?

เทอมการศึกษาในมหาวิทยาลัยไทยโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนต่อเทอม ขึ้นอยู่กับสถาบันและหลักสูตร การคำนวณจำนวนปีจึงมีความคลาดเคลื่อน เพราะไม่ได้คำนวณจากปีปฏิทินอย่างเคร่งครัด ลองคิดดูว่า.. เวลาเรียนจริง ๆ อาจสั้นกว่าที่คิดไว้เสียอีกเนาะ

  • เทอมละ 4 เดือน: 8 เทอม = 32 เดือน, 14 เทอม = 56 เดือน
  • เทอมละ 5 เดือน: 8 เทอม = 40 เดือน, 14 เทอม = 70 เดือน

เห็นไหมครับ การนับเป็นปีจึงไม่ค่อยเที่ยงตรงเท่าไร เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น วันหยุดยาวของมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจมีผลต่อจำนวนวันเรียนจริง สมมุติว่ามีวันหยุดยาว 4 ครั้งต่อปี ก็เท่ากับเดือนนึงหายไปเลยนะ นั่นหมายความว่า จำนวนวันเรียนจริงอาจลดลง ส่งผลให้การคำนวณเป็นปีมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้น ทำให้การคำนวณจำนวนปีเรียนจริง ไม่ตรงกับจำนวนปีปฏิทินอย่างแน่นอน

ปีการศึกษา 2566 (ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนตุลาคม 2566) มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยังคงใช้ระบบเทอม แต่รายละเอียดอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละมหาวิทยาลัย ควรตรวจสอบกับมหาวิทยาลัยที่สนใจโดยตรงจะดีกว่าครับ เพราะข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไปเท่านั้น

เฟรชชี่ ปี1 คืออะไร?

เฟรชชี่ปี 1 ก็คือ… เอ่อ… สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ในรั้วมหาลัยไง! เหมือนลูกเจี๊ยบเพิ่งออกจากไข่ เดินเตาะแตะ งงงวยกับโลกกว้าง (แอบนินทา…บางทีก็เดินชนเสาไฟฟ้า ๕๕๕) ส่วนคำเรียกเด็กปี 1 ในภาษาอังกฤษก็มีหลายแบบนะ อย่าง freshman, fresher หรือ first-year student ก็ตามแต่จะเลือกใช้เลยจ้าาา แต่ส่วนตัวชอบคำว่า fresher มันดู…สดใสกว่า! เหมือนน้ำผลไม้คั้นสด (ไม่ใช่แบบกล่องนะ!)

  • Freshman: คำนี้คลาสสิคสุด เหมือนกางเกงยีนส์ ใส่ได้ตลอดกาล
  • Fresher: อันนี้ก็เก๋ ให้ฟีลแบบเฟรชจริงจัง อะไรเบอร์นั้น
  • First-year student: เรียบๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ เหมือนข้าวผัดไข่ อร่อยแบบไม่มีอะไรกั้น

ปีนี้ 2024 แล้วนะจ๊ะ เด็กปี 1 ก็คือ Gen Z ตัวจริงเสียงจริง ใครจะไปรู้ บางทีเฟรชชี่ปีนี้อาจจะเก่งกว่าอาจารย์บางคนด้วยซ้ำ (แอบกระซิบ…เคยเห็นเฟรชชี่สอนอาจารย์ใช้ TikTok มาแล้ว ฮา!)

ส่วนเด็กปีอื่นๆ ก็มีชื่อเรียกเฉพาะเหมือนกันนะ… จะบอกให้ (อันนี้แถม!)

  • Sophomore (ปี 2): เริ่มอยู่ตัว แต่ก็ยังมีหลงๆ บ้าง เหมือนกำลังหัดขับรถ ยังไม่ค่อยคล่อง
  • Junior (ปี 3): เริ่มโปร เริ่มรู้ทางหนีทีไล่ในมหาลัย หาของกินอร่อยๆ เป็น เก่งเรื่องเอาตัวรอด
  • Senior (ปี 4): ตัวพ่อตัวแม่ ใกล้จบแล้ว บารมีจับ เดินเฉิดฉาย เหมือนราชสีห์ (แต่ก็ยังต้องทำธีสิส/โปรเจคอยู่ดี ๕๕๕)

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์นะ! ใครเป็นเฟรชชี่ปีนี้ ขอให้สนุกกับชีวิตมหาลัย! (แล้วเจอกันที่โรงอาหารนะ!)

#กี่วัน #วันเรียน #เรียนเทอม