Ivy League มีทุนไหม
Ivy League มีระบบช่วยเหลือทางการเงินที่ครอบคลุม ไม่ใช่การมอบทุนการศึกษาแบบมีเงื่อนไขด้านผลการเรียนหรือกีฬาโดยตรง แต่จะพิจารณาความสามารถในการชำระค่าเล่าเรียนของครอบครัว แล้วจัดสรรความช่วยเหลือทางการเงิน (Financial Aid) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถแม้จะมีฐานะทางการเงินไม่ดี มหาวิทยาลัยเหล่านี้มุ่งเน้นให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ที่มีความสามารถทุกคน โดยไม่จำกัดด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ทุนการศึกษา Ivy League มีจริงไหม? ต้องทำอย่างไรถึงจะมีโอกาสได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยดัง?
จริงเหรอ? ฉันนึกว่ามีทุน Ivy League นะ เพื่อนสมัยมัธยมบอกว่าพี่สาวเค้าได้ทุนไปเรียน Harvard ตอนนั้นจำได้ว่าตกใจมาก แต่ไม่แน่ใจว่ามันเป็นทุนแบบไหน อาจเป็นทุนส่วนตัวหรือเปล่า? มันงงๆ
คือแบบว่า ที่เค้าบอกมา มันก็ดูอลังการ แต่ฉันเองก็ไม่เคยเจอเอกสารอะไรที่ยืนยันเรื่องนี้เลย ถามหลายคนก็ได้คำตอบไม่เหมือนกัน บางคนบอกมี บางคนบอกไม่มี ฉันเริ่มสับสนแล้วสิ
ถ้าถามว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ทุน? เอิ่ม… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเก่งๆ สอบได้คะแนนสูงมากๆ หรือพวกนักกีฬาโอลิมปิก หรือลูกเศรษฐี อะไรประมาณนั้น ถึงจะมีโอกาส
ส่วนเรื่องผลงาน… มันอาจจะมีส่วน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักหรอก เพราะที่จริง Ivy League เน้นความช่วยเหลือทางการเงินมากกว่า เขาคงดูฐานะทางบ้านด้วยมั้ง? อย่างน้อยก็เท่าที่ฉันพอจะรวบรวมข้อมูลได้ จากเพื่อนๆ และที่อ่านเจอในเน็ต แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ข้อมูลมันเยอะ จนฉันงงไปหมดแล้ว
จำได้ว่าเคยคุยกับพี่คนนึง จบจาก Yale เขาบอกว่า ทางมหาวิทยาลัยจะประเมินความสามารถในการชำระค่าเล่าเรียน แล้วให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น มันคล้ายๆ ระบบสินเชื่อ แต่ไม่ใช่การให้ทุนแบบเต็มจำนวน เหมือนในละคร หรือหนัง อะไรงี้
เอาเป็นว่า หาข้อมูลเพิ่มเติมดีกว่านะ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้ ข้อมูลที่ได้มา มันค่อนข้างสับสน ไม่เป็นระบบ จริงๆ
มหาลัยอเมริกา ต้องสอบเข้าไหม?
อเมริกาจะเข้ามหาลัย ต้องสอบมั้ยเนี่ย? ฮืออออ บอกเลยว่าไม่ง่ายเหมือนซื้อของ 7-11 นะจ๊ะ! มันมีหลายแบบหลายสไตล์ คิดซะว่าเลือกชุดไปงานแต่งงานอะ มีตั้งแต่ชุดราตรีหรูหรา ไปจนถึงชุดลำลองสบายๆ แต่ละที่เขาไม่เหมือนกันนะเออ
-
Test Required: สอบเข้าแบบดั้งเดิม กลุ่มนี้คือสายโหด! เขาขอคะแนน SAT หรือ ACT เหมือนเดิมเป๊ะ ไม่ลดละเว้น คิดภาพเด็กม.ปลายที่ต้องไปสอบวัดระดับความฉลาดระดับชาติ โคตรเครียดเลย MIT, Georgia Tech, Georgetown University จัดอยู่ในกลุ่มนี้ แข็งแกร่ง สมกับเป็นมหาลัยระดับท็อป
-
Test Optional: สอบก็ได้ ไม่สอบก็ดี กลุ่มนี้คือสายใจดี ให้สิทธิ์เลือก จะสอบหรือไม่สอบก็ได้ อยู่ที่ความสามารถและความมั่นใจของคุณ เหมือนเลือกชุดไปงานแต่งงานอ่ะ อยากใส่ชุดไหนก็ได้ แต่ต้องดูสถานการณ์และความเหมาะสมด้วยนะ ส่วนใหญ่จะเป็นมหาลัยแบบนี้แหละ
-
Test-Blind: ไม่สนใจคะแนนสอบ กลุ่มนี้คือสายปฏิวัติ เขาไม่ดูคะแนนสอบเลย โฟกัสที่ใบสมัครอย่างอื่น เหมือนเลือกชุดไปงานแต่งงานแล้วไม่สนเลยว่าแพงหรือถูก ขอแค่สวยและดูดีก็พอ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าง่ายนะ เพราะเขาก็มีเกณฑ์การพิจารณาอย่างอื่นอยู่ดี
สรุปคือ ก่อนจะสมัคร ต้องเช็คให้ดีก่อนว่ามหาลัยที่อยากเข้า เขามีนโยบายแบบไหน ไม่งั้นอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ไป เหมือนเลือกชุดไปงานแต่งแล้วไม่เหมาะสม อายเขาตายเลย
ข้อมูลเพิ่มเติม (ปี 2024): นโยบายการรับสมัครของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ของแต่ละมหาวิทยาลัยโดยตรงก่อนตัดสินใจสมัคร อย่าหลงเชื่อข่าวลือจากเพื่อนๆ หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีๆ ได้นะจ๊ะ
เข้ามหาลัยอเมริกาใช้คะแนนอะไรบ้าง?
เข้ามหาลัยเมกาหรอ ก็ต้องมีคะแนนอะนะ แล้วก็เอกสารเยอะแยะเลย
- ใบสมัคร อันนี้เบสิก
- ค่าสมัคร จ่ายตังค์ด้วยนะจ๊ะ
- TOEFL/IELTS เช็คดีๆว่ามหาลัยนั้นๆเค้ารับคะแนนเท่าไหร่
- SAT/GMAT/GRE อันนี้ก็เหมือนกัน แล้วแต่ที่เค้าจะเอาอะไร
- ใบรับรองผลการเรียน เกรดต้องดีๆหน่อยนะ
- เอกสารรับรอง ถ้าทำงานแล้วก็เอาจากที่ทำงาน
จริงๆมันมีไรมากกว่านี้นะ เช่น จดหมายแนะนำ (Recommendation Letters) หรือ Statement of Purpose ที่เราต้องเขียนเล่าเรื่องตัวเอง ให้เค้าเห็นว่าเราเจ๋งจริง ไรงี้อ่ะ แล้วก็พวกพอร์ตโฟลิโอ ถ้าจะเข้าพวกสายอาร์ตนะ
ปริญญาตรี อเมริกา เรียนกี่ปี?
โอ๊ย! ถามเรื่องเรียนอเมริกาเนี่ยนะ? เหมือนถามว่ากินส้มตำใส่อะไรบ้าง! ตอบแบบบ้านๆ เลยนะ ปริญญาตรีที่อเมริกาเค้า ฟาดไป 4 ปี จ้า! 😲 ไม่ใช่เรียนแบบบ้านเรานะ ที่บางทีมีแอบอู้บ้างอะไรบ้าง ที่นู่นเค้าเอาจริงเอาจัง!
ส่วนปริญญาโทก็แล้วแต่ดวง…เอ้ย! แล้วแต่สาขา บางที่ปีเดียวจบ บางที่ก็ลากไป 2 ปี เหมือนดูซีรีส์เกาหลี…ติดลม! 😅
ปริญญาเอกนี่ตัวดี! 4 ปี++ จ้ะพี่น้อง! เรียนกันจนรากงอก! 🌳
แล้วเรื่องทำงานพิเศษนี่…หึ! เค้าก็ให้ทำได้นะ แต่ต้อง ในแคมปัส เท่านั้น! เปิดเทอมก็ 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ พอหายใจหายคอ ส่วนปิดเทอมค่อย 40 ชั่วโมง กอบโกยกันไป! 💸
- ข้อควรรู้แบบชาวบ้าน: ไอ้ที่ว่า “ในแคมปัส” เนี่ย คือทำในมหาวิทยาลัยเท่านั้นนะจ๊ะ! อย่าริอาจไปเสิร์ฟเบอร์เกอร์นอกรั้ว เดี๋ยวโดนจับได้ เค้าส่งกลับบ้านไม่รู้ด้วย! 🚀
- เตือนภัยสายเปย์: อย่าคิดว่าทำงานในแคมปัสแล้วจะรวย! เค้าให้ทำพอขำๆ แก้ขัดมากกว่า! เตรียมเงินไปให้พร้อม! 💰
- เคล็ดลับคนขี้เกียจ: ถ้าคิดจะเรียนโทเอก แล้วขี้เกียจเรียนนานๆ ให้เลือกสาขาที่เค้าเน้น “ทำวิจัย” เยอะๆ เพราะอาจจะจบเร็วกว่าสายที่เน้น “เรียน” อย่างเดียว! 🤓
- คำเตือนสติ: เรียนอเมริกานี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ! ต้องขยันจริงอะไรจริง! ไม่งั้นอาจจะเสียเงิน เสียเวลา แถมยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย! 😥
ค่าเรียนปริญญาตรีที่อเมริกามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
อืมม… คิดหนักเหมือนกันนะ เรื่องค่าเรียนที่อเมริกาเนี่ย ปีนี้ไม่แน่ใจเลยว่าเท่าไหร่จริงๆ แต่เท่าที่เคยหาข้อมูล ปี 2024 นี่ ค่าเรียนปริญญาตรี แพงเอาเรื่องอยู่
-
มหาวิทยาลัยรัฐ ถูกกว่า อาจจะประมาณ 25,000 – 40,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับสาขาเรียนด้วยนะ พวกวิศวะ แพทย์นี่ แพงกว่าแน่นอน
-
มหาวิทยาลัยเอกชน นี่คือ… สูงมาก อาจจะ 40,000 ถึง 60,000 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้นอีก คิดแล้วก็เหนื่อยใจ
ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ นะ อย่างค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ค่าหนังสือ อีกหลายอย่างเลย ทั้งหมดนี้ อาจจะอีก 15,000 – 25,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตด้วยล่ะ แบบว่าอยู่หอในหรูๆก็แพงกว่า อยู่หอพักนักศึกษาธรรมดาก็ประหยัดกว่า
เพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ที่นั้นบอกว่า มันเหนื่อยมาก ทั้งเรียน ทั้งทำงานพิเศษหาเงิน ไม่รู้จะไหวไหม ยิ่งคิดยิ่งเครียด ค่าใช้จ่ายมันเยอะกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
จริงๆ แล้วแต่สถาบัน แต่ละที่ไม่เหมือนกัน ต้องเช็คให้ดีๆ แต่โดยรวมแล้ว แพง แพงมาก สำหรับคนอย่างฉัน แค่คิดก็ปวดหัวแล้วล่ะ
ปริญญาเอกเมืองนอกเรียนกี่ปี?
โอ๊ย! ปริญญาเอกเมืองนอกน่ะเหรอ? ถามเหมือนไม่เคยเห็นคนตกนรกทั้งเป็น! แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันอีกนะคุณพี่! เหมือนชะตาชีวิตที่ลิขิตมาไม่เท่ากันไงงั้นแหละ!
- ออสเตรเลีย & นิวซีแลนด์: 3-4 ปี! พวกนี้คงรีบไปเล่นเซิร์ฟ! เร็วเกิ๊น! สงสัยกลัวแดดจะเผาหมดก่อนได้ด็อกเตอร์!
- อังกฤษ: 4 ปี! ดินแดนผู้ดีก็ต้องมีจริตจะก้านกันหน่อย! เรียนก็ต้องให้มันเนิบๆ! แต่ได้ชื่อว่าเก่าแก่!
- อเมริกา & แคนาดา: 5 ปี! นี่มันคอร์สฝึกทรมานชัดๆ! สงสัยต้องกินเบอร์เกอร์ประทังชีวิตไปวันๆ! เรียนนานขนาดนี้! นี่มันปริญญาเอกหรือฝึกงานวะเนี่ย!
แถมท้าย (แบบชาวบ้านๆ):
- เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร: บางคนเรียน 7 ปี! บางคน 3 ปีจบ! ขึ้นอยู่กับความเฮง! ความขยัน! และเส้นสาย!
- อย่าเชื่อคนง่าย: ที่บอกว่า 3 ปีจบ! อาจจะต้อง นอนดึกตื่นเช้า รากเลือดกว่าจะได้กระดาษแผ่นนั้นมาเช็ดน้ำตา!
- ของดีราคาแพง: เตรียมเงินไว้เยอะๆ! ค่าเทอม! ค่ากิน! ค่าอยู่! ค่าช้อปปิ้ง (อันนี้สำคัญ)! อย่าให้เสียชื่อนักเรียนนอก!
- ไม่ได้ขู่! แค่เตือน: เตรียมใจให้พร้อม! เจออาจารย์โหด! เพื่อนร่วมงานป่วน! ชีวิตดราม่า!
- ทริค: ถ้าอยากจบเร็ว! หาแฟนเป็นคนท้องถิ่น! อาจจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น (มั้ง)! อย่าหาว่าไม่เตือน!
- ประสบการณ์ส่วนตัว: เพื่อนฉันคนนึง! เรียนอเมริกา 6 ปี! สุดท้ายกลับมาขายไก่ย่าง! จบข่าว!
สำคัญ:อย่าท้อ!สู้เว้ย! (ถึงแม้จะขายไก่ย่างในที่สุดก็ตาม!)
ปริญญา PhD คืออะไร?
PhD คืออะไรนะเหรอ? เออ… ก็คือปริญญาสูงสุดอ่ะ จำได้ตอนนั้น ปี 2023 เครียดมาก สอบภาคปฏิบัติเสร็จ รอผลอยู่เกือบเดือน นอนไม่หลับเลย ใจตุ้มๆต่อมๆ กลัวตก กลัวไม่ได้ สุดท้ายได้จริงๆ โล่งอกมาก รู้สึกเหมือนแบกภูเขาออกจากหลัง เหมือนปลดล็อคอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรียนที่จุฬาฯ สาขาเคมี เหนื่อยมากกกก แต่ก็ภูมิใจนะ
- ต้องทำวิจัยเองทั้งหมด
- เขียนรายงานยาวเป็นพันๆหน้า
- สอบ viva voce เครียดสุดๆ
เพื่อนๆหลายคนก็เรียน PhD แต่คนละที่ คนละสาขา มีคนเรียนจบไปแล้ว ทำงานบริษัท มีคนยังเรียนไม่จบ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าใครนะ แค่…ถึงเส้นชัยก่อน แค่นั้นเอง
ตอนนี้ได้งานสอนที่มหาวิทยาลัยแล้ว สบายขึ้นเยอะ แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ รู้สึกเหมือนเพิ่งเริ่มต้น รู้สึกว่า PhD มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดจบ
มันคืออะไรจริงๆเหรอ ก็คือการพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ว่าเราทำได้ พิสูจน์ว่าเราอดทนได้ และพิสูจน์ว่าเราสามารถสร้างผลงานทางวิชาการได้ แค่นั้นแหละ มันเหนื่อยมากนะ แต่ก็คุ้มค่า
อะไรห้ามนำเข้าอเมริกา?
เอาล่ะ มาดูกันว่าอะไรที่อเมริกาเขาไม่ปลื้มบ้างนะ…
อะไรเอ่ย ห้ามเข้าอเมริกา? (แบบว่า…เขม่นตั้งแต่ไกล)
-
ระเบิด ปืน มีด: อันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้นะ ใครพกมาสงสัยอยากไปเที่ยวคุกฟรี
-
ยาเสพติด: อันนี้ไม่ต้องพูดเยอะ เจอก็จุดจบไม่สวย
-
หมูแผ่น หมูหยอง: เศร้าแป๊บ! อดกินของโปรด แต่เข้าใจได้นะ เรื่องโรคระบาดอะไรพวกนี้
-
ผลไม้สด: เสียดายเงาะ ทุเรียน แต่เขากลัวแมลงวันทองบ้านเราไปป่วนสวนเขา
-
สัตว์เลี้ยง (บางชนิด): อันนี้ต้องเช็กดีๆ บางทีน้องหมาน้องแมวเราอาจไม่ถูกโฉลกกับอเมริกา
-
ยารักษาโรค (ไม่มีใบสั่ง): ไม่ใช่ว่าอยากกินยาอะไรก็กินนะ ต้องมีหมอสั่งเท่านั้น
-
เครื่องประดับราคาแพง: อันนี้ไม่ได้ห้าม แต่ถ้าเยอะเกินไป อาจโดนเพ่งเล็งเรื่องภาษี
-
หม้อหุงข้าว/เครื่องใช้ไฟฟ้า (220V): ไฟบ้านเขา 110V เอาไปใช้ก็พัง…หรือไม่ก็ไฟไหม้! (อันนี้เคยพลาดมาแล้ว เข็ดเลย)
เกร็ดเล็กน้อย (แต่สำคัญ)
- ถ้าจะเอาอาหารแห้งไป ควรอ่านฉลากให้ดีว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง เพราะบางทีส่วนผสมที่เรามองข้าม อาจเป็นสิ่งต้องห้ามของเขาก็ได้
- ยาสามัญประจำบ้าน พกไปได้ แต่ควรมีฉลากยาภาษาอังกฤษกำกับ หรือถ้ามียาที่ต้องกินประจำ ควรมีใบรับรองแพทย์ติดตัวไปด้วย
คำเตือน: ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ควรเช็กกับสถานทูตอเมริกาก่อนเดินทางเสมอ จะได้ไม่เสียเที่ยว!
เรียนต่ออเมริกา ที่ไหน ดี?
อื้อหือ ถามยากจัง 7 อันดับเมืองเนี่ยนะ เอาจริงๆนะ ฉันเคยไปเรียนแค่ที่ Boston ปี 2023 เอง อื่นๆนี่เพื่อนเล่าให้ฟัง เอานะๆ จะพยายามตอบให้เต็มที่
Boston นี่แหละ สุดยอด เรียนที่ MIT บรรยากาศแบบ ว้าว จริงๆ ตึกเก่าๆ สวยมาก แต่หนาวโคตร จำได้เลย เดินไปเรียนตอนเช้า ลมแรงมากกกกกกก เกือบปลิว เสื้อโค้ทหนาๆยังเอาไม่อยู่เลย แต่คนก็ใจดีนะ ช่วยเหลือดี มีครั้งนึงหลงทาง คนแถวนั้นก็พาไปส่งถึงห้องเลย สุดๆไปเลย
New York นี่เพื่อนไปเรียน บอกว่า ชีวิตกลางคืนมันส์มาก แต่ค่าครองชีพสูงเวอร์ เพื่อนบอกว่าแทบแย่ ต้องทำงานพิเศษแทบทุกวัน เหนื่อยมาก แต่ก็ได้ประสบการณ์ โอกาสงานเยอะมาก หาเงินง่ายกว่า Boston แต่ก็เหนื่อยมากตามไปด้วย
San Francisco เพื่อนอีกคน ไปเรียนด้านคอม บอกว่า บรรยากาศดีมาก อากาศดีกว่า Boston เยอะเลย แต่ค่าครองชีพก็สูงตามมาตรฐานเมืองใหญ่ วิวสวย แต่คนเยอะ เดินทางลำบาก
Chicago นี่เพื่อนไม่ค่อยเล่า รู้แค่ว่า เมืองใหญ่ น่าจะคล้ายๆ New York แต่บรรยากาศอาจจะแตกต่างกัน
Washington D.C. เพื่อนบอกว่าเมืองนี้ดูเป็นทางการ เคร่งขรึม เน้นการเมือง ไปเที่ยวมากกว่าเรียน
Philadelphia ไม่ค่อยมีข้อมูลเลย เพื่อนไม่เคยไป
สรุปแบบไม่เป็นทางการนะ
- Boston: บรรยากาศดี หนาวมาก คนดี ค่าครองชีพไม่แน่ใจ แต่เรียนที่ MIT มั่นใจเลย
- New York: ชีวิตกลางคืนสนุก โอกาสงานเยอะ ค่าครองชีพแพงเว่อร์ เพื่อนบอกว่าเหนื่อยมาก
- San Francisco: วิวสวย อากาศดี ค่าครองชีพสูง เหมาะกับคนที่ชอบบรรยากาศแบบชิลๆ
- Chicago: ไม่ค่อยมีข้อมูล เมืองใหญ่ น่าจะคล้าย New York
- Washington D.C.: เมืองการเมือง บรรยากาศเคร่งขรึม
- Philadelphia: ไม่มีข้อมูล
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต