TGAT กี่เปอร์เซ็นต์

19 การดู

สำหรับผู้ที่ต้องการยื่นเข้าศึกษาต่อในคณะที่กำหนด เกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องพิจารณาคือ คะแนน TGAT และ TPAT5 ไม่น้อยกว่า 35 คะแนน และ A-Level ภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 30 คะแนน ผู้สมัครต้องจบการศึกษาจากสายสามัญหรือหลักสูตรนานาชาติจึงมีสิทธิ์สมัคร

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เจาะลึกสัดส่วน TGAT: ความสำคัญและเคล็ดลับพิชิตคะแนนสำหรับ TCAS

สำหรับน้องๆ ม.ปลายที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย หนึ่งในคำถามสำคัญที่วนเวียนอยู่ในหัวคงหนีไม่พ้นเรื่อง “TGAT กี่เปอร์เซ็นต์?” คำถามนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่เป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนและเตรียมตัวสอบเพื่อเข้าคณะในฝัน

บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญของสัดส่วนคะแนน TGAT ในการสอบ TCAS พร้อมทั้งให้คำแนะนำและเคล็ดลับที่จะช่วยให้น้องๆ พิชิตคะแนน TGAT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นข้อมูลที่แตกต่างและเป็นประโยชน์ เพื่อให้น้องๆ ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ทำไมต้องใส่ใจสัดส่วน TGAT?

การทำความเข้าใจสัดส่วนคะแนน TGAT เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสัดส่วนนี้จะบอกเราว่าคะแนน TGAT มีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนต่อการตัดสินใจของคณะที่เราต้องการเข้าศึกษา หากคณะนั้นๆ ให้ความสำคัญกับ TGAT มาก คะแนนสอบในส่วนนี้ก็จะมีผลต่อการตัดสินใจคัดเลือกอย่างมาก

นอกจากนี้ การรู้สัดส่วนคะแนนยังช่วยให้เราจัดสรรเวลาและทรัพยากรในการเตรียมตัวสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคณะที่ต้องการเข้าศึกษาให้ความสำคัญกับ TGAT มาก เราก็ควรทุ่มเทเวลาให้กับการเตรียมตัวสอบ TGAT มากขึ้นตามไปด้วย

TGAT ใน TCAS: ภาพรวมและสัดส่วนคะแนนโดยทั่วไป

TGAT (Thai General Aptitude Test) เป็นการสอบวัดความถนัดทั่วไปที่ใช้ในระบบ TCAS (Thai University Central Admission System) ซึ่งเป็นการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย TGAT แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  • TGAT1: การสื่อสารภาษาอังกฤษ (English Communication) วัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันและการศึกษา
  • TGAT2: การคิดอย่างมีเหตุผล (Critical and Logical Thinking) วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และให้เหตุผล
  • TGAT3: สมรรถนะการทำงาน (Future Workforce Competencies) วัดความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การบริหารจัดการตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

สัดส่วนคะแนน TGAT ในแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบัน ดังนั้น น้องๆ ควรตรวจสอบข้อมูลสัดส่วนคะแนนจากระเบียบการรับสมัครของคณะและมหาวิทยาลัยที่สนใจอย่างละเอียด

เจาะลึกเกณฑ์ขั้นต่ำ: TGAT/TPAT5 ไม่น้อยกว่า 35 คะแนน และ A-Level ภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 30 คะแนน

จากข้อมูลที่ให้มา พบว่ามีบางคณะ (ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อ) กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำในการยื่นสมัครคือ คะแนน TGAT และ TPAT5 ไม่น้อยกว่า 35 คะแนน และ A-Level ภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 30 คะแนน ซึ่งเกณฑ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและน้องๆ ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน

  • TGAT และ TPAT5 ไม่น้อยกว่า 35 คะแนน: หมายความว่าน้องๆ ต้องได้คะแนนรวมจาก TGAT ทั้ง 3 ส่วน และ TPAT5 (ความถนัดทางศิลปกรรม) รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 35 คะแนน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะการได้คะแนนเกินเกณฑ์ขั้นต่ำเพียงเล็กน้อย อาจทำให้พลาดโอกาสในการแข่งขันได้
  • A-Level ภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 30 คะแนน: A-Level คือการสอบวัดผลระดับสูงที่ใช้ในหลักสูตรนานาชาติ หากน้องๆ จบจากหลักสูตรนานาชาติ ก็จะต้องสอบ A-Level ภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนไม่น้อยกว่า 30 คะแนน จึงจะมีสิทธิ์ยื่นสมัคร

เคล็ดลับพิชิตคะแนน TGAT: เน้นจุดแข็ง พัฒนาจุดอ่อน

  • TGAT1: การสื่อสารภาษาอังกฤษ: ฝึกฝนทักษะการอ่าน การฟัง และการเขียนภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ อ่านบทความภาษาอังกฤษ ดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ภาษาอังกฤษ และฝึกเขียนภาษาอังกฤษในรูปแบบต่างๆ
  • TGAT2: การคิดอย่างมีเหตุผล: ฝึกทำโจทย์ปัญหา ฝึกคิดวิเคราะห์ ฝึกให้เหตุผล และฝึกแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ หรือหนังสือเตรียมสอบที่มีโจทย์ปัญหาหลากหลายรูปแบบ
  • TGAT3: สมรรถนะการทำงาน: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เช่น การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร การแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ลองเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยพัฒนาทักษะเหล่านี้

นอกเหนือจากการเตรียมตัวสอบ: พัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน

การสอบ TGAT ไม่ได้วัดเพียงแค่ความรู้ทางวิชาการ แต่ยังวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการปรับตัว ดังนั้น น้องๆ ควรพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้น้องๆ มีความพร้อมในการสอบ TGAT และประสบความสำเร็จในการเข้าศึกษาต่อในคณะที่ใฝ่ฝัน

สรุป

การทำความเข้าใจสัดส่วนคะแนน TGAT และเกณฑ์ขั้นต่ำต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนและเตรียมตัวสอบ TCAS น้องๆ ควรตรวจสอบข้อมูลจากระเบียบการรับสมัครของคณะและมหาวิทยาลัยที่สนใจอย่างละเอียด และทุ่มเทเวลาในการเตรียมตัวสอบอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้น้องๆ ประสบความสำเร็จในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน!