ทุ่มดูยังไง

17 การดู

ทุ่ม ในภาษาไทยโบราณใช้บอกเวลาช่วงหัวค่ำ โดยแบ่ง 6 ชั่วโมงแรกของกลางคืนออกเป็นหน่วยย่อย ตั้งแต่หนึ่งทุ่ม (19:00 น.) ไปจนถึงหกทุ่ม (00:00 น.) ซึ่งหกทุ่มมักเรียกกันติดปากว่า สองยาม เป็นการนับเวลาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในอดีต

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ทุ่ม: การวัดเวลาแห่งรัตติกาลที่สะท้อนวิถีชีวิตไทยโบราณ

คำว่า “ทุ่ม” อาจดูคุ้นหูสำหรับคนไทยรุ่นปัจจุบัน แต่ความหมายและการใช้งานที่แท้จริงของคำนี้กลับซ่อนเร้นไว้ด้วยภูมิปัญญาในการนับเวลาอันชาญฉลาดของบรรพบุรุษ เราอาจคุ้นเคยกับการใช้ “ทุ่ม” ในการบอกเวลาหัวค่ำ เช่น “เจ็ดทุ่ม” หรือ “หนึ่งทุ่ม” แต่การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบการนับเวลาแบบ “ทุ่ม” จะช่วยให้เราเข้าใจวิถีชีวิตและความคิดของคนไทยในอดีตได้ดียิ่งขึ้น

ต่างจากระบบเวลา 24 ชั่วโมง ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ระบบการนับเวลาแบบ “ทุ่ม” เป็นระบบการนับเวลาในเวลากลางคืน โดยแบ่งช่วงเวลา 6 ชั่วโมงแรกนับจากพระอาทิตย์ตกดิน ออกเป็น 6 หน่วย เริ่มต้นจากหนึ่งทุ่ม (ตรงกับเวลา 19.00 น. หรือ 7 นาฬิกาเย็น ตามเวลาปัจจุบัน โดยประมาณ เนื่องจากเวลาพระอาทิตย์ตกดินจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล) จนถึงหกทุ่ม (ตรงกับเที่ยงคืน 00.00 น.) การนับเวลาแบบนี้จึงมีความผูกพันกับการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างในแต่ละวัน เป็นการวัดเวลาที่อิงกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

แต่ละ “ทุ่ม” ไม่ได้เป็นเพียงการแบ่งเวลาอย่างหยาบๆ เท่านั้น แต่สะท้อนถึงกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคนไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี เช่น หนึ่งทุ่ม อาจเป็นเวลาที่ครัวเรือนเริ่มจัดเตรียมอาหารเย็น สองทุ่มอาจเป็นเวลาที่ครอบครัวร่วมรับประทานอาหารและพักผ่อน สามทุ่มอาจเป็นเวลาที่เริ่มเตรียมตัวเข้านอน และสี่ทุ่ม ห้าทุ่ม ไปจนถึงหกทุ่ม หรือที่มักเรียกกันว่า “สองยาม” ก็เป็นเวลาแห่งการหลับไหลอย่างสงบ นี่แสดงให้เห็นว่าการนับเวลาแบบ “ทุ่ม” ไม่ใช่เพียงแค่การกำหนดเวลา แต่เป็นการแบ่งช่วงเวลาที่สอดคล้องกับจังหวะชีวิต กิจกรรม และธรรมชาติอย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเวลาพระอาทิตย์ตกดินแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เวลาที่แน่นอนของแต่ละทุ่มจึงไม่คงที่เสมอไป ซึ่งแตกต่างจากระบบนาฬิกาที่แม่นยำในปัจจุบัน แต่ความไม่แน่นอนนี้เอง กลับสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม การนับเวลาแบบ “ทุ่ม” จึงไม่ใช่เพียงแค่ระบบการนับเวลา แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งน่าศึกษาและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นภูมิปัญญาไทยสืบต่อไป