พนักงานอยากได้อะไรจากองค์กร
พนักงานต้องการอะไรจากองค์กร? สรุปคือ:
- ยอมรับ: ต้องการรู้สึกมีคุณค่า ผลงานเป็นที่ประจักษ์
- เพื่อนร่วมงานที่ดี: สร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันราบรื่น สนับสนุนกันและกัน
- พัฒนา/ก้าวหน้า: โอกาสเรียนรู้ เติบโตในสายอาชีพ มีเส้นทางก้าวหน้าชัดเจน
- สวัสดิการดี: ดูแลสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน ตอบโจทย์ชีวิต
- สภาพแวดล้อมดี: พื้นที่ทำงานสะดวกสบาย ปลอดภัย ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ลดความเครียด
พนักงานต้องการอะไรจากองค์กร?
เอาจริงๆนะ สิ่งที่พนักงานอยากได้จากองค์กร มันก็พื้นฐานมากๆเลย อย่างแรกเลยคือ เงินเดือนที่เหมาะสมกับงานที่ทำ ไม่ใช่เอาเปรียบกัน สมมุติว่าทำโอทีจนหัวฟู แต่ได้เงินนิดเดียว ใครจะอยากทำ
แล้วก็เรื่องความก้าวหน้า ใครๆ ก็อยากโต อยากมีตำแหน่งที่ดีขึ้น มีเงินเดือนที่มากขึ้น ถ้าองค์กรมีเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน มีโอกาสให้พัฒนาตัวเอง พนักงานก็มีกำลังใจทำงาน
อีกอย่างที่สำคัญคือ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ใครๆ ก็อยากทำงานในที่ๆมีความสุข มีเพื่อนร่วมงานที่ดี หัวหน้าที่เข้าใจ ไม่ใช่อะไรก็ด่า อะไรก็ว่า
จำได้ตอนทำงานที่บริษัทเก่า บรรยากาศอึมครึมมาก หัวหน้าก็ชอบจ้องจับผิด ทำงานไม่มีความสุขเลย สุดท้ายก็ลาออก แม้ว่าเงินเดือนจะดีก็เถอะ
ส่วนสวัสดิการก็สำคัญนะ เหมือนเป็นโบนัสที่ทำให้เรารู้สึกว่าองค์กรเห็นคุณค่าในตัวเรา อย่างประกันสุขภาพ วันลาพักร้อน พวกนี้ก็จำเป็น
พนักงานแบบไหนที่องค์กรต้องการ
โอ้ยยยย องค์กรสมัยนี้ เขาอยากได้ซุปเปอร์(ไซย่า)แมนกันทั้งนั้นแหละ จะเอาแบบไหนอีกกกก ฉันจะบอกให้ แบบลิสต์เลยนะ เอาแบบบ้านๆนี่แหละ เข้าใจง่ายดี
- พูดรู้เรื่อง! ไม่ใช่พูดเป็นแต่ภาษากระรอก คือแบบ สื่อสารรู้เรื่อง ชัดเจน เอาให้เคลียร์! เหมือนสั่งชาเย็น ได้ชาเย็น ไม่ใช่ได้ชาเขียวปั่น แบบนี้ไม่เอานะ ไม่งั้นมีบ้านแตก!
- คิดบวกไว้ก่อนนนนน อย่ามาเป็นแม่มดดำ อีเจี๊ยบบบ อะไรก็บ่น ทำงานแบบนี้มีหวังบริษัทเจ๊ง ต้องมองโลกในแง่ดีบ้าง เหมือนกินทุเรียน บางทีมันก็เหม็น แต่มันก็อร่อย ใช่มั้ยล่ะ
- พร้อมลุย!! อะไรก็ได้ ไม่เรื่องมาก เหมือนบุฟเฟต์ จะกุ้ง หอย ปู ปลา ฉันกินได้หมด! อย่ามาเรื่องมาก งานไหนก็ทำได้ ปรับตัวเก่ง อย่าเป็นเหมือนต้นกระบองเพชร อยู่ได้แค่ที่แหละ ฉันล่ะเบื่อ
- ทำงานเป็นทีมสำคัญมาก อย่ามาอีโก้สูงปรี๊ด เหมือนยอดมะพร้าว ไม่มีใครอยากปีนหรอกจ้าาา ต้องรู้จักร่วมมือ ช่วยเหลือกัน ทำงานแบบทีมเวิร์ค เหมือนแก๊ง3ช่า ถึงจะป่วนแต่ก็ฮา งานก็สำเร็จ
- มีความรู้ มีประสบการณ์ รับผิดชอบสูงงงง คือแบบ ฉันเป็นเจ้าของบริษัท ฉันก็อยากได้คนเก่งๆ มาทำงาน เหมือนจ้างโรนัลโด้มายิงประตูให้ทีม มันก็ต้องยิงคมๆ หน่อยจริงมั้ย
- รักงาน มุ่งมั่น!! คือแบบไฟลุกโชน ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง แปปเดียวก็มอด ต้องมีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนฉันอยากผอม ฉันต้องพยายาม ต้องอดทน ถึงจะสำเร็จ (ถึงแม้จะยากก็เถอะ 555)
- คิดอะไรใหม่ๆ สร้างสรรค์ แตกต่าง เหมือนเมนูอาหารฟิวชั่น มันต้องมีอะไรแปลกใหม่ ไม่จำเจ ถึงจะปังงงงง สมองต้องแล่นปรู๊ดปร๊าด เหมือนมอเตอร์ไซค์ พุ่งทะยานไปข้างหน้า
- ตรงต่อเวลา มีวินัย รักษาคำพูด เหมือนนาฬิกา ต้องเดินตรงเวลา ไม่ใช่เดินช้า เดินเร็ว เอาแน่นอนไม่ได้ แล้วใครมันจะเชื่อถือ จริงมั้ยล่ะ
เออ นี่แหละ พนักงานในฝันขององค์กร ถ้าใครเป็นแบบนี้ รับรอง งานรุ่ง เงินเดือนพุ่ง ปังปุริเย่แน่นอน! ส่วนฉันเหรอ? ขอตัวไปฝึกวิชาแปลงร่างเป็นซุปเปอร์(ไซย่า)แมนก่อนนะ บายยยย!
จะทำอย่างไรให้พนักงานรักองค์กร
วิธีให้พนักงานรักองค์กร (ฉบับคนจริง)
-
อำนาจ. ปล่อยมือบ้าง เขาไม่ใช่เด็กอนุบาล มอบอิสระ = ความรับผิดชอบ
-
รางวัล. เงินเดือนขึ้น โบนัสดี ใครๆ ก็ชอบ อย่าให้รอถึงชาติหน้า ของขวัญเล็กน้อย, แต่ความหมายยิ่งใหญ่
-
สนุก. บรรยากาศต้องไม่เหมือนอยู่ในคุก ออฟฟิศมีชีวิตชีวา หัวเราะบ้าง, แต่ต้องมีงาน
-
สวัสดิการ. ประกันสุขภาพดีๆ ใครก็อยากได้ ป่วยมา บริษัทไม่ทิ้ง ดูแลเขา, เขาจะดูแลคุณ
ข้อมูลเสริม:
- Entrepreneur Mindset คือการคิดแบบเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่ลูกจ้างกินเงินเดือน ลองให้เขาคิดนอกกรอบดู
- การให้ Feedback ต้องสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ด่าเอามัน
- อย่าลืมเรื่อง Work-Life Balance ชีวิตไม่ได้มีแค่งาน
- สวัสดิการที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง อาจเป็นเรื่องการพัฒนาตัวเอง หรือเวลาที่ยืดหยุ่น
- ความซื่อสัตย์ สำคัญกว่าทุกสิ่ง อย่าหลอกพนักงาน
ทำอย่างไรให้พนักงานผูกพันกับองค์กร
โอเค จัดไป! มาทำให้พนักงานรักองค์กรแบบคลั่งรักยิ่งกว่าแฟนกันดีกว่า (แต่ไม่ต้องถึงขั้น stalk นะ!) นี่คือ 10 ขั้นตอนฉบับ “ขำๆ แต่จริงจัง” รับรองได้ผล!
-
เงินเดือนไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ขาดไม่ได้: จ่ายให้สมน้ำสมเนื้อ อย่าให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็น “แรงงานทาส” ยุคดิจิทัล! (แอบกระซิบ: โบนัสปลายปีก็สำคัญนะจ๊ะ!)
-
ให้เขาเห็นอนาคต: บอกเขาไปเลยว่า “คุณจะเติบโตไปกับเรา!” วาดฝันให้เขาเห็นตำแหน่งใหญ่โต รถประจำตำแหน่ง (ถ้ามี) แล้วทำให้มันเป็นจริง!
-
Work-Life Balance: ไม่ใช่แค่คำสวยหรู! อย่าให้เขาทำงานจนไม่มีเวลาหายใจ หาเวลาให้เขาไปพักผ่อนบ้าง เดี๋ยวจะ burnout เอา
-
การสื่อสารสองทาง: ฟังเขาบ้าง! ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว เปิดโอกาสให้เขาแสดงความคิดเห็น (ถึงแม้บางทีจะฟังไม่รู้เรื่องก็เถอะ!)
-
ให้รางวัล: ไม่ต้องรอปีใหม่ ชมเชยเมื่อเขาทำดี ให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ (เช่น บัตร Starbucks) มันช่วยได้จริงๆ นะ!
-
สร้างวัฒนธรรมที่ดี: ไม่มี Toxic! ทุกคนช่วยเหลือกัน รักใคร่กลมเกลียว (เหมือนอยู่ในละครไทยหลังข่าว)
-
พัฒนาตัวเอง: จัดอบรม สัมมนา ให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ (ไม่ต้องแพงมากก็ได้ แค่ให้เขารู้สึกว่าองค์กรใส่ใจ)
-
ความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลสำคัญ (ไม่ใช่ความลับบริษัทนะ!) ให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
-
ให้อำนาจ: มอบหมายงานที่ท้าทาย ให้เขาได้แสดงฝีมือ (แต่ต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลนะ เดี๋ยวจะเละ!)
-
เป็นตัวอย่างที่ดี: ผู้บริหารต้องทำตัวให้ดีก่อน อย่าสร้างภาพ! พนักงานจะได้ศรัทธา
ข้อมูลเพิ่มเติม (สไตล์ “ขำๆ แต่แอบจริงจัง”):
- สวัสดิการแปลกๆ: นอกจากประกันสุขภาพ ลองมีนวดออฟฟิศ หรือวันลาพักร้อนแบบ “Unlimit” ดูสิ! (แต่ต้องมีเงื่อนไขนะ!)
- กิจกรรมสนุกๆ: จัด Outing ปีละครั้ง พาไปทำกิจกรรมบ้าๆ บอๆ (เช่น Paintball) รับรองสนิทกันมากขึ้น!
- Flexible Working: ให้เขาทำงานจากที่บ้านได้บ้าง (ถ้างานมันทำได้นะ!) ชีวิตมันยืดหยุ่นขึ้นเยอะ!
- Feedback Loop: อย่ารอประเมินผลปีละครั้ง คุยกันบ่อยๆ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้าง (ไม่ใช่แค่เรื่องงาน!)
- ปี 2567: อย่าลืมอัปเดตสวัสดิการให้ทันสมัย เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพจิต หรือสนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน
สรุป: ทำให้พนักงานรู้สึกว่า “ที่นี่คือบ้าน” ไม่ใช่แค่ “ที่ทำงาน” แล้วเขาจะรักองค์กรยิ่งกว่าอะไร! (แต่ถ้ายังไม่รัก ก็ตัวใครตัวมันนะ!)
คำเตือน: อย่าเชื่อทุกอย่างที่ฉันพูด! ลองเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับองค์กรของคุณเองนะ! (แล้วมาบอกด้วยว่าได้ผลหรือเปล่า!)
องค์กรมีวิธีการทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานยังคงทำงานอยู่กับองค์กรไปได้นาน ๆ
พนักงานอยู่ยาว? ไม่ยาก ถ้าทำจริง
- คัดคน: DNA ต้องตรงกัน ไม่ใช่แค่เก่ง
- (ข้อมูลเพิ่ม: DNA องค์กร คือ ค่านิยม วัฒนธรรม ที่ฝังรากลึก)
- สวัสดิการ: ไม่ใช่แค่ตัวเลข ต้องตอบโจทย์ชีวิต
- (ข้อมูลเพิ่ม: ประกันสุขภาพ, วันลาที่ยืดหยุ่น, เงินช่วยเหลือพิเศษ คือตัวอย่าง)
- เห็นคุณค่า: ไม่ใช่แค่คำพูด ต้องมีการกระทำ
- (ข้อมูลเพิ่ม: การให้ feedback, การให้รางวัล, การรับฟังความคิดเห็น คือวิธีแสดงออก)
- ให้โอกาส: ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง ต้องให้การเติบโต
- (ข้อมูลเพิ่ม: ฝึกอบรม, โครงการพัฒนา, การมอบหมายงานที่ท้าทาย คือการลงทุน)
- สื่อสาร: ไม่ใช่แค่ประกาศ ต้องเปิดใจคุย
- (ข้อมูลเพิ่ม: สร้างช่องทางสื่อสารสองทาง, จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์, สร้างความโปร่งใส)
- ยืดหยุ่น: ไม่ใช่แค่ผ่อนปรน ต้องเข้าใจ
- (ข้อมูลเพิ่ม: Work-life balance, การให้อิสระในการทำงาน, การรับฟังปัญหา)
ทำได้แค่นี้ ที่เหลือคือ “เวร” กรรม ของแต่ละคน
วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดีคืออะไร
วัฒนธรรมองค์กรห่วยๆ คืออะไรน่ะเหรอ? อะแฮ่ม! เตรียมตัวฟังเรื่องผีในที่ทำงานได้เลย!
มันคือ “บ้านผีสิง” เวอร์ชั่นบริษัทไงล่ะ! ทุกเช้าที่ตื่นมา แทนที่จะคิดถึงกาแฟ กลับต้องภาวนาว่า “ขออย่าให้เจอเจ้านายจอมบงการวันนี้เลยนะ” หรือ “อย่าให้มีใครแทงข้างหลังเลย สาธุ!”
วัฒนธรรม Toxic เนี่ย มันเหมือนไวรัสร้าย ที่ค่อยๆกัดกินทุกอย่างตั้งแต่ความสุขเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงความทะเยอทะยานในการทำงาน บางทีก็มาในรูปแบบของการนินทา (โอ๊ย! คลาสสิค!) บางทีก็มาในรูปของการเมืองภายใน (ใครไม่เล่นตามเกม = ตาย!) หรือหนักข้อหน่อยก็คือ การเหยียดสารพัดรูปแบบ (อันนี้เจ็บจริง!)
สรุปสั้นๆ วัฒนธรรม Toxic:
- ขวัญกำลังใจติดลบ: ทำงานเหมือนตกนรกทุกวัน
- พัฒนาตัวเอง? ฝันไปเถอะ: เน้นเอาตัวรอดมากกว่า
- เพื่อนร่วมงาน = ศัตรู: ต้องระวังหลังตลอดเวลา
- องค์กรไม่โต: มัวแต่ทะเลาะกันเอง จะเอาเวลาไหนไปแข่งกับคนอื่น?
- คนเก่งหนีหมด: ใครจะทนอยู่ได้ล่ะวะ!
เพิ่มเติมแบบเจ็บๆคันๆ (แต่อาจเป็นประโยชน์):
- Micro-managing (จู้จี้จุกจิก): เจ้านายตามติดทุกฝีก้าว เหมือนเลี้ยงเด็กอนุบาล (แถมยังบ่นเก่งกว่าแม่เราอีก!)
- Gaslighting (ปั่นหัว): ทำให้เราสงสัยในตัวเอง ว่าสิ่งที่เราเห็นและรู้สึกมันผิดปกติ (อันนี้น่ากลัวกว่าผีหลอกอีก!)
- Bullying (กลั่นแกล้ง): ทั้งทางตรงและทางอ้อม (สมัยเรียนโดนเพื่อนแกล้งว่าแย่แล้ว มาเจอที่ทำงานนี่คือร้องไห้!)
จำไว้ว่า ถ้าที่ทำงานทำให้คุณรู้สึกแย่กว่าตอนอกหัก…เตรียมใบลาออกไว้ในลิ้นชักได้เลย! (แต่ถ้าอกหักด้วย…อันนี้ต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้วล่ะ)
#การพัฒนา #ความยุติธรรม #สิทธิประโยชน์ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต