จะรู้ได้ไงว่ามีเนื้องอกในมดลูก

3 การดู

เนื้องอกมดลูกบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ แต่หากมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจทำให้ประจำเดือนมามากผิดปกติ, ปวดท้องน้อยเรื้อรัง, ปวดหลัง, ท้องผูก, ปัสสาวะบ่อย, หรือมีบุตรยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย หากพบความผิดปกติ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เงียบเชียบแต่ร้ายกาจ: รู้ได้อย่างไรว่าคุณมีเนื้องอกในมดลูก?

เนื้องอกในมดลูก หรือที่เรียกว่า ฟิโบรอยด์ (Fibroids) เป็นก้อนเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อร้าย มักเกิดขึ้นในมดลูกของสตรีวัยเจริญพันธุ์ แม้จะเป็นเนื้องอกที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก สิ่งที่น่ากังวลคือ เนื้องอกมดลูกหลายชนิดมักไม่มีอาการใดๆ จนกระทั่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองมีเนื้องอกอยู่ภายในร่างกาย

อาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ:

เนื้องอกมดลูกขนาดเล็กอาจไม่แสดงอาการใดๆ แต่เมื่อมันเจริญเติบโตขึ้น และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คุณอาจสังเกตเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้:

  • ประจำเดือนผิดปกติ: นี่คืออาการที่พบบ่อยที่สุด อาการอาจแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ประจำเดือนมาหนักผิดปกติ (มีเลือดออกมากผิดปกติ), ประจำเดือนมาเป็นเวลานานกว่าปกติ, หรือประจำเดือนมาถี่ขึ้น เลือดอาจออกมาเป็นก้อนๆ หรือมีลิ่มเลือดปนด้วย

  • ปวดท้องน้อยเรื้อรัง: ความเจ็บปวดอาจเป็นแบบปวดตุ๊บๆ หรือปวดอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงของอาการปวดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกปวดเพียงเล็กน้อย บางคนอาจปวดอย่างรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

  • ปวดหลังส่วนล่าง: เนื้องอกขนาดใหญ่สามารถกดทับเส้นประสาทและอวัยวะใกล้เคียง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีประจำเดือน

  • ท้องผูก: เนื้องอกขนาดใหญ่สามารถกดทับลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการท้องผูก ถ่ายยาก หรือรู้สึกแน่นท้อง

  • ปัสสาวะบ่อย: เนื้องอกอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้รู้สึกปัสสาวะบ่อยขึ้น แม้ว่าปริมาณปัสสาวะอาจไม่มากนัก

  • มีบุตรยาก: เนื้องอกในมดลูกอาจรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน ส่งผลให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

หากคุณพบอาการใดๆ ดังกล่าวข้างต้น หรือมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจสั่งการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตร้าซาวด์ MRI หรือ CT Scan เพื่อวินิจฉัยโรค การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ และลดโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต

อย่าละเลยสัญญาณจากร่างกายของคุณ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น