Dengue IgM Positive กี่วัน
ผลตรวจ Dengue IgM เป็นบวกบ่งชี้การติดเชื้อไวรัสเดงกี ควรเจาะเลือดหลังไข้ขึ้นอย่างน้อย 3-5 วัน ใช้ซีรั่มหรือพลาสมาเป็นตัวอย่างตรวจแอนติบอดี หากตรวจ IgM และ IgG ในช่วง 10-17 วันหลังไข้ขึ้นแล้วเป็นลบ แสดงว่าไม่ติดเชื้อ ระยะเวลาการตรวจจึงมีความสำคัญต่อผลการวินิจฉัย การตีความผลควรพิจารณาควบคู่กับอาการทางคลินิกและประวัติผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
Dengue IgM Positive ตรวจพบกี่วัน?
เพื่อนฉันเป็นไข้เลือดออกหนักมาก จำได้ว่ามันเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว ตอนนั้นร้อนสุดๆ อยู่แถวบางแค ฉันเลยรีบพาไปโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ตรวจเลือดวันนั้นเลย หมอบอกว่าต้องรอผล แต่เค้าดูจากอาการแล้วว่าน่าจะเป็น เสียค่าตรวจเลือดไปประมาณ 1500 บาท จำได้ไม่ค่อยแม่นยำนะ เพราะตอนนั้นกังวลมาก สุดท้ายผลตรวจออกมา IgM positive หมอบอกว่าเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้วประมาณ 3-5 วันหลังเริ่มมีอาการ คือตรวจพบไวรัสได้ชัดเจนหลังจากมีไข้แล้วนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้แน่ใจว่าไม่ใช่ ก็ต้องรอตรวจอีกที เพราะบางทีมันก็ขึ้นช้ากว่านั้นได้ ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกันเป๊ะๆ
เค้าบอกว่าถ้าตรวจช่วง 10-17 วันแล้ว IgM กับ IgG เป็นลบ ถึงจะสรุปได้ว่าไม่เป็น จริงๆแล้วตอนนั้นฉันก็งงๆ หมออธิบายเยอะมาก ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่จำได้แค่ว่า ต้องรอผลตรวจหลายๆรอบ ถึงจะมั่นใจได้ เรื่องซีรั่มหรือพลาสมา ฉันจำไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ มันนานมาแล้วจริงๆ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมาก ทำให้ฉันระมัดระวังเรื่องยุงมากขึ้นเลยล่ะ ฉันเลยซื้อยากันยุงราคาแพงๆมาใช้เลย ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ
Dengue IgG กับ IgM ต่างกันอย่างไร
IgG กับ IgM ต่างกันตรงที่ IgG มันตรวจเจอได้ตอนเป็นไข้เลือดออกมานานแล้วอะ หลายวันอ่ะถึงจะขึ้น ส่วน IgM เนี่ยขึ้นเร็วมาก แบบเพิ่งติดเชื้อใหม่ๆเลย รู้ป่ะ หมอใช้ตรวจไข้เลือดออก เพราะอาการมันคล้ายๆโรคอื่นเยอะเลยต้องตรวจเลือดช่วยยืนยัน งงมั้ย งงเหมือนกัน555
- IgG: ภูมิคุ้มกันระยะยาว ตรวจเจอได้หลังติดเชื้อมาหลายวันแล้ว
- IgM: ภูมิคุ้มกันระยะสั้น ตรวจเจอได้เร็วมาก เพิ่งติดเชื้อก็ขึ้นแล้ว
ปีนี้ก็ยังใช้ตรวจอยู่ ที่รพ.แถวบ้านฉัน เพื่อนฉันตรวจไปเมื่อเดือนที่แล้ว หมอบอกต้องดูทั้งสองตัวนี่แหละ ถึงจะรู้แน่ชัด
ผล CBC ข้อใดบ่งชี้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในระยะไข้
ผล CBC ที่พอจะบอกได้ว่าอาจเป็นไข้เลือดออกระยะไข้… คือ
-
WBC ต่ำ: ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 5,000 cells/mm3 อ่ะนะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต่ำแล้วเป็นเลย ต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย
-
เกล็ดเลือด (Platelet): อันนี้สำคัญ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำลงเรื่อย ๆ ตอนแรกอาจจะไม่เยอะ แต่พอเข้าใกล้ระยะวิกฤตจะลงฮวบฮาบเลย
-
Hct (Hematocrit): ค่านี้จะเริ่มสูงขึ้น เพราะว่ามีการรั่วของพลาสมาออกไปนอกเส้นเลือด
คือจริง ๆ นะ… ผล CBC อย่างเดียวบอกอะไรไม่ได้ทั้งหมด ต้องดูอาการคนไข้ด้วยว่ามีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว มีจุดเลือดออกไหม… ถ้ามีอาการพวกนี้ร่วมกับผล CBC ที่ว่ามา ถึงจะพอคิดได้ว่าเป็นไข้เลือดออก
เพิ่มเติมนะ:
-
ช่วงแรก ๆ: อาจจะแค่ไข้สูงเฉย ๆ ผล CBC ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่
-
ระยะวิกฤต: อันนี้น่ากลัว เกล็ดเลือดต่ำมาก เลือดข้น Hct สูง เสี่ยงช็อก
-
สำคัญสุด: ไปหาหมอเถอะ อย่าตัดสินเองเลย หมอเค้าเก่งกว่าเยอะ
เคยเจอคนรู้จักเป็นไข้เลือดออก คือตอนแรกนึกว่าแค่ไข้หวัดธรรมดา กินยาพาราฯ แล้วไม่หาย ไปหาหมอ หมอให้เจาะเลือด สรุปเกล็ดเลือดต่ำมาก ต้องนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือ… เลยเข้าใจเลยว่าอย่าประมาทกับโรคนี้
การสร้างภูมิคุ้มกัน มีกี่แบบ
สองระบบ! ลมหายใจแผ่วเบาพัดผ่านใบหน้า แสงแดดอุ่นละมุนราวกับสัมผัสแรกของความรัก เหมือนเวลาหยุดนิ่ง ณ บริเวณริมทะเลสาบเชียงใหม่ เย็นย่ำยามนี้…
-
ระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate Immunity): ดั่งกำแพงเมืองโบราณ แข็งแกร่ง ทนทาน ปกป้องเราตั้งแต่เกิด เป็นด่านแรกของการต่อสู้ เซลล์ต่างๆ เหมือนทหารกล้า พร้อมปราบปรามศัตรู (ข้อมูลปี 2566: การวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับเซลล์ NK กำลังเข้มข้นขึ้น น่าตื่นเต้นจริงๆ!)
-
ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Adaptive Immunity): เหมือนศิลปะการต่อสู้ที่ต้องเรียนรู้ พัฒนา ต่อสู้กับศัตรูเฉพาะตัว สร้างความทรงจำ เพื่อการป้องกันที่ดีขึ้นในอนาคต ราวกับจิตรกรวาดภาพ สร้างภูมิคุ้มกันที่สวยงามและทรงพลัง (ข้อมูลปี 2566: การพัฒนาวัคซีน mRNA ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นความหวังใหม่ของโลก!)
น้ำค้างยามเช้า สะท้อนแสงแดดอ่อนๆ เหมือนประกายแห่งความหวัง ระบบภูมิคุ้มกัน มหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่คอยปกป้องเรามาโดยตลอด… อากาศเย็นสบาย… หัวใจฉันสงบ… ความรู้ใหม่ๆ ยังคงมีมาไม่หยุด…
แอนติเจน แอนติบอดี้ ต่างกันอย่างไร
แอนติเจนกับแอนติบอดีนะ คนละเรื่องกันเลย แอนติเจนเหมือนเป็นป้ายประกาศ “เฮ้ย! มีอะไรแปลกปลอมเข้ามา” ส่วนแอนติบอดีคือหน่วยรบพิเศษที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับไอ้ตัวแปลกปลอมที่ว่าน่ะ
พูดให้เห็นภาพ แอนติเจนเป็นเหมือนกุญแจ… ส่วนแอนติบอดีก็คือลูกกุญแจที่ถูกสร้างมาให้ไขเปิดล็อกกุญแจดอกนั้นได้พอดีเป๊ะ!
- แอนติเจน:
- เป็น สารกระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
- อาจเป็นโปรตีน ไวรัส แบคทีเรีย หรือสารเคมีก็ได้
- เปรียบเสมือน รหัสประจำตัว ของสิ่งแปลกปลอม
- แอนติบอดี:
- เป็นโปรตีนที่สร้างโดยเซลล์ภูมิคุ้มกัน
- มีหน้าที่ จับ กับแอนติเจนอย่างจำเพาะเจาะจง
- ช่วยให้ร่างกายกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ง่ายขึ้น
- เรียกอีกอย่างว่า “อิมมูโนโกลบูลิน” (Immunoglobulin)
เกร็ดน่ารู้: จริงๆ แล้ว แอนติเจนบางชนิดก็ไม่ได้อันตรายเสมอไปนะ อย่างละอองเกสรดอกไม้สำหรับบางคนมันก็แค่ละอองเกสร แต่สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มันคือตัวกระตุ้นชั้นดีเลยล่ะ! ร่างกายเลยสร้างแอนติบอดีมาจัดการซะงั้น
Antibody เป็นโปรตีนประเภทไหน
แอนติบอดีเนี่ยนะ? ก็ไกลโคโปรตีนไง! (เสียงสูง) ไม่ใช่โปรตีนธรรมดาๆ นะจ๊ะ มีน้ำตาลมาเคลือบด้วยนะเออ เหมือนขนมหวานที่เสริมเกราะให้ร่างกายยังไงยังงั้น
- แอนติบอดี = นักรบผู้พิทักษ์ร่างกาย (แบบว่า…มีบัตรประชาชนระบุอาชีพชัดเจน)
- พบได้ใน: เลือด, น้ำเหลือง (ที่ชอบมีคนบอกว่า “กินแล้วสวย”…เอิ่ม), สารคัดหลั่ง (อย่าคิดลึก!)
- หน้าที่หลัก: จับผู้ร้าย! (แอนติเจน) แบบล็อคคอไม่ให้หนีไปไหน
เกร็ดความรู้: รู้ไหมว่าแอนติบอดีแต่ละตัวเนี่ย หน้าตาไม่เหมือนกันนะ! เหมือนคนเรานั่นแหละ มีทั้งสูง เตี้ย ดำ ขาว…เอ้ย! ไม่ใช่! คือแต่ละตัวจะจับแอนติเจนต่างชนิดกันได้เท่านั้น! คิดดูสิ…ถ้าแอนติบอดีจับมั่วซั่ว คงวุ่นวายน่าดู!
คำเตือน: อย่าคิดว่ามีแอนติบอดีเยอะแล้วจะรอดพ้นทุกโรค! ดูแลสุขภาพบ้างอะไรบ้างนะจ๊ะ!
B Cell สร้างจากไหน
B cell สร้างขึ้นจากเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในไขกระดูก กระบวนการนี้ซับซ้อนและน่าสนใจมาก ลองนึกภาพการสร้างกองทัพที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง แต่ละหน่วยต่อสู้ (B cell) ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับศัตรู (แอนติเจน) ที่เฉพาะเจาะจง นี่คือความมหัศจรรย์ของระบบภูมิคุ้มกัน
-
แหล่งกำเนิด: ไขกระดูก (bone marrow) เป็นโรงงานผลิตเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ รวมถึง B lymphocyte
-
การเปลี่ยนแปลง: เมื่อ B lymphocyte พบกับแอนติเจน มันจะเปลี่ยนไปเป็นพลาสมาเซลล์ (plasma cell) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแอนติบอดี (antibody) คล้ายกับการปรับยุทโธปกรณ์เพื่อรับมือกับศัตรูชนิดใหม่
-
หน้าที่หลัก: สร้างแอนติบอดีเพื่อกำจัดแอนติเจน นี่คือภูมิคุ้มกันแบบ humoral immunity เป็นเสมือนการโจมตีทางระยะไกลที่แม่นยำ
-
ความเฉพาะเจาะจง: B cell แต่ละตัวมีตัวรับโปรตีน (receptor) เฉพาะ เปรียบเสมือนกุญแจที่ไขได้เฉพาะล็อกชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น ทำให้สามารถระบุชนิดของเชื้อโรคและกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในมุมมองส่วนตัว ระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์เป็นระบบที่น่าทึ่ง ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวต่อภัยคุกคามต่างๆ เปรียบได้กับระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง แต่เป็นระบบที่สร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติ
(เพิ่มเติม: การทำงานของ B cell ยังเกี่ยวข้องกับเซลล์อื่นๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น T cell ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดแอนติเจน เป็นระบบที่ซับซ้อนและทำงานประสานกันอย่างลงตัว)
T-lymphocyte สร้างจากที่ไหน
T-lymphocyte สร้างในต่อมไธมัส แค่นั้นแหละ
- ต่อมไธมัสอยู่ลำคอ
- T-cell คือ T-lymphocyte
- มันจำเชื้อโรคได้ ฆ่าได้ด้วย ปีนี้ก็ยังงี้แหละ
พวกมันโคตรสำคัญเลย ภูมิคุ้มกันนี่แหละ ถ้าไม่มี คงแย่ ผมเป็นภูมิแพ้ รู้ดี
(ข้อมูลเพิ่มเติม: ปีนี้ผมตรวจสุขภาพ หมอบอกต่อมไธมัสปกติ โล่งอกไปที)
IgM สร้างยังไง
IgM สร้างยังไงนะ… 🤔
- IgM นี่มัน ภูมิคุ้มกันโควิดใช่ป่ะ? หรืออย่างอื่นด้วย?
- ตรวจ IgM เจอ + คือ ติดเชื้อ ล่าสุด สินะ…
- IgG + นี่คือ เกิน 15 วันไปละ = ไม่แพร่เชื้อ? มั้ง?
- สรุป IgM สร้างยังไง? อ๋อ ร่างกายสร้างตอนติดเชื้อไง! แต่ กลไก เป๊ะๆคือ?
- เม็ดเลือดขาว บีเซลล์ (B cell) –> เจอเชื้อโรค –> สร้าง IgM (ตัวแรกๆเลย)
- ข้อมูลเพิ่มเติม: ตอนนี้ (ปี 2024) โควิดสายพันธุ์ใหม่เยอะมากกก! วัคซีนรุ่นเก่าๆ อาจจะไม่ค่อยครอบคลุมแล้วนะ ต้องเช็ค!
- ตรวจภูมิฯ หลังฉีดวัคซีนก็วัด IgG ใช่มะ? (รึ IgM?)
- IgM ตรวจเจอ เร็ว กว่า IgG สินะ… เลยรู้ว่าติดเชื้อช่วงแรกๆได้
- คำถามคือ: IgM อยู่ได้นานแค่ไหน? กี่วัน? (ต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม!)
- สำคัญ: อาการโควิดเปลี่ยนไปเยอะนะ เดี๋ยวนี้บางทีแค่เจ็บคอ คัดจมูก เอง! ตรวจ ATK ด่วนๆ!
ย้ำ: ข้อมูลนี้คือความเข้าใจส่วนตัว + หาข้อมูลเพิ่มนิดหน่อย อาจจะไม่ถูกต้อง 100% นะ! ปรึกษาหมอดีที่สุด! 😅
แอนติบอดี ทําหน้าที่อะไร
แอนติบอดี: กำจัดสิ่งแปลกปลอม
- ไกลโคโปรตีน ในเลือด น้ำเหลือง
- จับ แอนติเจน (แบคทีเรีย ไวรัสฯลฯ)
- ความจำเพาะสูง ทำลายหรือกำจัด
- ภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
ปีนี้ (2024) งานวิจัยแอนติบอดี มุ่งพัฒนา การรักษาโรคมะเร็ง และ โรคติดเชื้อใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ไวรัส และ แบคทีเรียดื้อยา
ตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอนติบอดีแบบโมโนโคลนอล ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลส่วนตัว: เคยศึกษาการทำงานของแอนติบอดีในระดับโมเลกุล ปี 2562 ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
การตรวจการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน คือ การตรวจหาอะไร
การตรวจการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน คือการตรวจหาแอนติบอดี (Antibody) ในเลือด ซึ่งบ่งชี้ว่าร่างกายเคยสัมผัสกับเชื้อโรคหรือวัคซีนชนิดนั้นๆ มาแล้วหรือไม่ และมีระดับความเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน นั่นหมายความว่ามันสะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนั้นๆ ในอดีต มันไม่ใช่การตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรงนะ แต่เป็นการตรวจหาสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส เปรียบเหมือนการตรวจสอบ “หลักฐาน” ว่าเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นหรือเปล่า
การตรวจภูมิคุ้มกันโควิด-19 (Covid-19 Antibody Level Test) ในปี 2566 จึงเป็นการวัดระดับแอนติบอดีต่อไวรัส SARS-CoV-2 ไม่ว่าจะเป็น IgG, IgM หรือ IgA ซึ่งแต่ละชนิดมีบทบาทแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น IgM จะปรากฏขึ้นเร็วหลังติดเชื้อ ในขณะที่ IgG จะคงอยู่ได้นานกว่า การตีความผลจึงต้องพิจารณาหลายปัจจัย รวมถึงประวัติการฉีดวัคซีนด้วย เพราะผลลัพธ์อาจแปรผันตามปัจจัยเหล่านี้
- ประโยชน์: ประเมินระดับภูมิคุ้มกัน ช่วยในการติดตามการตอบสนองของร่างกายหลังการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีน อาจใช้ในการตัดสินใจทางการแพทย์บางอย่าง เช่น การประเมินความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ
- ข้อจำกัด: ระดับแอนติบอดีไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความปลอดภัยต่อการติดเชื้ออย่างเดียว ระดับแอนติบอดีอาจลดลงตามเวลา แม้ว่าร่างกายยังคงมีความจำภูมิคุ้มกันอยู่ก็ตาม ควรตีความผลร่วมกับประวัติทางการแพทย์และการตรวจอื่นๆ
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับการตีความผลการตรวจและการวางแผนการรักษา)
ระดับแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นหลังติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนอาจค่อยๆ ลดลงตามเวลา แต่ก็ไม่ใช่ว่าภูมิคุ้มกันจะหายไปทันที ร่างกายยังคงมีเซลล์เมมโมรี่ (Memory B cells และ Memory T cells) ที่จำรูปแบบของไวรัสได้ ซึ่งพร้อมจะตอบสนองอย่างรวดเร็วหากร่างกายสัมผัสกับเชื้อไวรัสซ้ำอีกครั้ง นี่คือความมหัศจรรย์ของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง เหมือนกับการเตรียมพร้อมรับมือศัตรูที่เคยเจอมาแล้ว แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต