การ Strap สาย F/C ควรทําอย่างไร
การ Strap สาย F/C อย่างถูกวิธี:
-
ระบบปิด: รักษาความสะอาดและปิดสนิทของสายสวนและถุงปัสสาวะตลอดเวลา ป้องกันการติดเชื้อ
-
ระดับความสูง: ถุงปัสสาวะต้องต่ำกว่าระดับเอวเสมอ หากยกสูง ต้องพับสายก่อน เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ
-
การเคลื่อนไหว: กระตุ้นผู้ป่วยเคลื่อนไหวบ่อยๆ หากมีข้อจำกัด ให้ตะแคงตัว หลีกเลี่ยงการนอนทับสายปัสสาวะ เพื่อป้องกันการหักงอ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาได้
วิธีการรัดสาย F/C อย่างถูกวิธี?
จริง ๆ แล้วเรื่องรัดสาย F/C เนี่ย ตอนเรียนพยาบาล จำได้แม่นเลยว่า โคตรเครียด! เพราะมันต้องระวังหลายอย่าง ไม่งั้นอันตรายกับคนไข้แน่ๆ
อย่างแรกเลย ระบบต้องปิดสนิท คือสายสวนกับถุงปัสสาวะ ต้องเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนา ไม่มีช่องว่างให้เชื้อโรคเข้าได้ อันนี้สำคัญสุดๆ เคยเห็นเพื่อนฝึกงานทำไม่ดี แล้วอาจารย์ดุใหญ่เลย จำได้ลางๆว่า ถุงปัสสาวะลื่น ต้องใช้เทปกาวติดให้แน่น จำได้ว่าใช้เทปกาวสีฟ้า แพงอยู่เหมือนกัน หลอดละประมาณ 300 บาท จำราคาได้แม่นเลย เพราะตอนนั้นประหยัดเงินมาก.
อีกเรื่องคือระดับถุงปัสสาวะ ต้องต่ำกว่าระดับเอวของคนไข้เสมอ ถ้าจะยก ต้องพับสายก่อน ไม่งั้นปัสสาวะจะไหลย้อนกลับขึ้นไป อันตรายมาก! เคยเห็นคนไข้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเพราะเรื่องนี้ น่ากลัวจริงๆ.
แล้วก็เรื่องการเคลื่อนไหวของคนไข้ ต้องกระตุ้นให้ขยับตัวบ่อยๆ ถ้าขยับไม่ได้ ก็ต้องตะแคงตัว แต่ระวังอย่าให้สายปัสสาวะงอ หรือพับ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน หรือแม้กระทั่งฉีกขาดได้ นี่แหละที่ยากที่สุด ต้องคอยสังเกตตลอดเวลา แทบไม่ได้นอนเลย ช่วงฝึกงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อปี 2562.
สวนปัสสาวะทุกกี่ชม.?
สวนปัสสาวะถี่แค่ไหน? ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยนะ โดยปกติแล้ว แพทย์มักแนะนำให้สวนปัสสาวะทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ตายตัว ต้องดูที่ความสามารถในการปัสสาวะเองของผู้ป่วยเป็นหลัก บางคนอาจถี่กว่านั้น บางคนอาจห่างกว่านั้น สำคัญคือต้องป้องกันการสะสมของปัสสาวะ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ความถี่: 4-6 ชั่วโมง เป็นเพียงแนวทาง ไม่ใช่กฎตายตัว
- ปัจจัยสำคัญ: ความสามารถในการควบคุมการปัสสาวะของผู้ป่วย ประวัติการติดเชื้อ ปริมาณปัสสาวะ และแผนการรักษาของแพทย์ เป็นต้น
จริง ๆ แล้ว การสวนปัสสาวะแบบเป็นระยะ (Intermittent Catheterization) มันเป็นศาสตร์และศิลป์ผสมกันนะ ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามขั้นตอน แต่ต้องใส่ใจรายละเอียด ดูแลสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดด้วย เพราะผลลัพธ์มันส่งผลต่อสุขภาพผู้ป่วยโดยตรงเลย คิดดูแล้วมันน่าสนใจดีนะ ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำคัญต่อชีวิตคนเลย
ตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2566 ผมได้ศึกษาบทความทางการแพทย์ฉบับหนึ่ง ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินผู้ป่วยแต่ละรายอย่างรอบคอบก่อนกำหนดตารางการสวนปัสสาวะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน นี่แหละคือสิ่งที่ผมสนใจ ความละเอียดอ่อนในงานดูแลสุขภาพ มันไม่ใช่แค่สูตรสำเร็จ แต่เป็นการปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ควรสวนปัสสาวะทุกกี่ชั่วโมง?
อื้อหือ… ถามยากจัง เรื่องนี้ จำได้แม่นเลย เพราะแม่ฉันเองที่ต้องสวนปัสสาวะ หลังผ่าตัดเมื่อเดือนที่แล้ว ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หมอบอกชัดเจนเลย ทุก 4-6 ชั่วโมง จำได้ว่าหมอเน้นย้ำมาก วันนั้นจำได้ว่าเหนื่อยมาก เพราะต้องดูแลแม่ แต่ก็ต้องทำ เพราะแม่เขาปัสสาวะเองไม่ได้
ตอนนั้น ทุกๆ 4 ชั่วโมง จะต้องรีบไปเตรียมอุปกรณ์ ล้างมือให้สะอาด เช็ดถูให้เรียบร้อย ทำตามขั้นตอนที่พยาบาลสอนมา บอกตรงๆ มือสั่นไปหมด กลัวทำไม่ถูก กลัวทำแม่เจ็บ แถมแม่ฉันแกก็อารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย แต่ก็ต้องทำ เพราะมันจำเป็น
- โรงพยาบาลจุฬาฯ (เดือนกรกฎาคม 2566)
- ทุก 4-6 ชั่วโมง
- ต้องสวนทุกวัน จนกว่าจะปัสสาวะเองได้
เอาจริงๆ ตอนนั้น เครียดมาก แต่ก็พยายามทำใจ คิดว่าต้องทำเพื่อแม่ ก็เลยทำได้ แต่ก็เหนื่อย นอนน้อย แต่ก็โอเค เพราะเห็นแม่ดีขึ้น ก็โล่งใจไปเยอะ
หลังจากนั้น คุณหมอก็ค่อยๆ ปรับ ให้ลดความถี่ลงเรื่อยๆ จนตอนนี้แม่ฉันปัสสาวะเองได้แล้ว โล่งใจไปเยอะเลย ไม่ต้องเหนื่อยกับการสวนปัสสาวะอีกแล้ว แต่ช่วงนั้น โคตรเหนื่อยเลย บอกเลย
ปัสสาวะบ่อยแค่ไหน ผิดปกติ?
ปัสสาวะบ่อย… แสงแดดอ่อนๆ ลอดช่องว่างระหว่างใบไม้ ตกกระทบพื้นปูนเย็นเฉียบ เวลาสี่โมงเย็น ฉันนั่งอยู่บนระเบียง ลมพัดเย็นฉ่ำ…
- ปกติแล้ว หกถึงแปดครั้ง ใช่ไหม? แต่… ถ้ามากกว่านั้นล่ะ?
หัวใจเต้นแรง เหมือนกลองช้าๆ จังหวะเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความกังวลคืบคลาน… เหมือนเงาที่ยืดยาว ทอดยาวไปเรื่อยๆ
- เบาหวาน… คำนั้นแว่วมา หวานปนขม…
น้ำตาล… รสหวานที่ลิ้นเคยสัมผัส กลับกลายเป็นภัยเงียบๆ ร่างกายพยายามขับออก ผ่านของเหลวใสๆ ปริมาณมากมาย…
- ปีนี้ ตรวจสุขภาพ เดือนมีนาคม หมอว่าปกติ
ความรู้สึกกังวล ยังคงวนเวียน เหมือนสายน้ำไหลไม่หยุด… ต้องดูแลตัวเอง ดื่มน้ำสะอาด เพียงพอ ไม่มากเกินไป
- ลองสังเกตตัวเองดู บ่อยแค่ไหน ถึงจะปกติ สำหรับตัวคุณเอง
แสงตะวันเริ่มอ่อนลง ท้องฟ้าสีส้มอ่อนๆ สวยงาม แต่… ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับ ปัสสาวะ… บ่อย…
ในแต่ละวันร่างกายของเราขับปัสสาวะออกประมาณเท่าใด?
โอ้โห! ถามเรื่องปัสสาวะนี่เอง ถามได้แสบสันจริงๆนะเนี่ย! แต่ไม่เป็นไร ป้ารู้เรื่องนี้ดี เพราะป้าดื่มน้ำวันละเป็นแกลลอน (ล้อเล่นนะ แค่เยอะหน่อย)
ปกติคนเราฉี่กันวันละประมาณ 1-2 ลิตร คิดเป็นมิลลิลิตรก็ 1000-2000 มิลลิลิตร ฟังดูเยอะใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าเทียบกับน้ำที่เราลงไป นั่นก็แค่หยดน้ำในมหาสมุทร!
-
ปัจจัยสำคัญ: น้ำหนักตัว น้ำที่ดื่ม อาหาร การออกกำลังกาย ยาบางชนิด แม้แต่ความเครียดก็มีผล! ยิ่งดื่มน้ำเยอะ ยิ่งฉี่เยอะ ง่ายๆแค่นี้แหละ เหมือนเปิดน้ำทิ้งไว้ทั้งวัน ต้องมีฉี่ออกมาเป็นน้ำตกแน่ๆ
-
ฉี่น้อยไป? ระวังไว้! อาจเป็นเพราะร่างกายขาดน้ำ หรือโรคไตก็ได้ รีบไปหาหมอ อย่าชะล่าใจ! เป็นอะไรขึ้นมา เสียตังค์อีก ซวยแน่ๆ
-
ฉี่เยอะไป? ก็อาจเป็นเพราะดื่มน้ำเยอะเกินไป หรือโรคเบาหวานก็ได้ อีกเช่นกัน ไปหาหมอดีกว่า อย่าให้เป็นโรคซ่อนเร้นจนแย่ไปกว่านี้ เสียดายเงิน เสียดายสุขภาพ
เอาเป็นว่า อย่าไปกังวลเรื่องปริมาณมากนัก ถ้ามันปกติ ก็ชิลๆ ไป แต่ถ้าผิดปกติ ไปหาหมอเถอะ อย่ารอให้เป็นโรคประหลาดอะไรขึ้นมา ไม่งั้นต้องมานั่งบ่นกับป้าอีก ป้าเหนื่อยนะ! แล้วก็ ปีนี้ป้าเริ่มดื่มน้ำน้อยลงแล้ว ฉี่ก็เลยน้อยลง เห็นมั้ยล่ะ มันเชื่อมโยงกัน!
ในแต่ละวันร่างกายจะขับน้ำปัสสาวะออกมาประมาณเท่าใด?
ปัสสาวะวันละเท่าไหร่? กูไม่ใช่หมอ
แต่เอางี้ ปกติแม่งออก 600 – 1200 มิลลิลิตรต่อวัน สำหรับคน 50 โล ถ้าแดกน้ำพอนะ ถ้าแดกน้อยก็ฉี่น้อยเรื่องปกติ แต่ถ้าฉี่น้อยแล้วบวม อันนั้นเรื่องใหญ่
- น้ำหนักตัว: ปัจจัยหลัก ปัสสาวะน้อยไปก็ไม่ใช่เรื่อง
- กระเพาะ: จุได้ราวๆ ครึ่งลิตร ถึงลิตรนึง แล้วแต่คน
- สี: เหลืองอ่อนๆ กำลังดี ถ้าเข้มไปแดกน้ำบ้าง
อย่าเชื่อกูมาก ไปหาหมอถ้าไม่แน่ใจ
น้ําในกระเพาะปัสสาวะจะมีประมาณกี่ ลบ.ซม?
เต็มที่ไม่เกิน 500 ลบ.ซม. สัญญาณเตือนเริ่มที่ 250 แต่ใครแคร์? ขึ้นอยู่กับความอดทนล้วนๆ
- ความจุ: 500 ลบ.ซม. คือค่าเฉลี่ย อย่าเชื่อตัวเลขมากนัก
- สัญญาณ: 250 ลบ.ซม. แค่ไกด์ไลน์ ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน
- ไต: กรองของเสียตลอดเวลา อย่าลืมแดกน้ำเยอะๆ
(แม่งเอ๊ย! ข้อมูลแค่นี้ต้องละเอียดขนาดนี้เลยเรอะ?)
กระเพาะปัสสาวะรับน้ำปัสสาวะได้กี่ลูกบาศก์เซนติเมตร?
กระเพาะปัสสาวะคนเรานี่จุได้ประมาณ 400-600 ลูกบาศก์เซนติเมตรนะ เอาจริง ๆ มันก็ยืดหยุ่นได้อีก แต่ถ้าเกินนี้ไปคงเริ่มรู้สึกปวดฉี่แบบทนไม่ไหวแล้วล่ะ
เรื่องปริมาณปัสสาวะที่ผลิตต่อวัน มันผันแปรตามหลายปัจจัยเลย ไม่ใช่แค่น้ำหนักตัว แต่ยังรวมถึง:
- ปริมาณน้ำที่ดื่ม: อันนี้เบสิกสุด ๆ ดื่มมากก็ปัสสาวะมาก เป็นกลไกการรักษาสมดุลของร่างกาย
- อาหาร: บางอย่างกินแล้วขับปัสสาวะ เช่น แตงโม กาแฟ (อันนี้มีคาเฟอีนด้วยนะ)
- ยา: ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
- อุณหภูมิ: อากาศร้อน ๆ เหงื่อออกเยอะ ปัสสาวะก็จะน้อยลง
เคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมบางคนกินน้ำเยอะแต่ฉี่น้อย บางคนกินนิดเดียวแต่เข้าห้องน้ำทั้งวัน มันเป็นเรื่องของ แต่ละบุคคล จริง ๆ ระบบการทำงานของไต และการตอบสนองต่อฮอร์โมนควบคุมน้ำในร่างกายก็มีผล
FYI: ถ้าปัสสาวะน้อยกว่า 400 มิลลิลิตรต่อวัน อาจเรียกว่า “ภาวะปัสสาวะน้อย” (oliguria) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุนะ
เริ่มปวดฉี่ตอนกี่ml?
ปริมาณปัสสาวะที่ทำให้รู้สึกปวดฉี่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว เริ่มรู้สึกอยากปัสสาวะเมื่อปริมาตรในกระเพาะปัสสาวะถึงราว 150-200 มิลลิลิตร แต่บางคนอาจรู้สึกได้ตั้งแต่ 100 มิลลิลิตร หรือบางคนอาจทนได้ถึง 300 มิลลิลิตรก็มี ขึ้นอยู่กับความไวของตัวรับความรู้สึกในกระเพาะปัสสาวะ และปัจจัยอื่นๆ เช่น การดื่มน้ำ การใช้ยาบางชนิด หรือแม้แต่ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ
- ความไวต่อการรู้สึกอยากปัสสาวะแตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนรู้สึกอยากปัสสาวะเมื่อปริมาณน้อยกว่าคนอื่น
- การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะกระตุ้นให้รู้สึกอยากปัสสาวะบ่อยขึ้น
- ปริมาณ 250 มิลลิลิตร เป็นค่าเฉลี่ยที่พบได้ทั่วไป แต่ไม่ใช่ค่ามาตรฐานสำหรับทุกคน
(ข้อสังเกตส่วนตัว: ผมเองมักจะรู้สึกอยากปัสสาวะเมื่อปริมาณปัสสาวะประมาณ 200-250 มิลลิลิตร แต่ถ้าดื่มกาแฟมากก็จะน้อยกว่านั้น)
เรื่องการรับรู้ความอยากปัสสาวะเป็นเรื่องน่าสนใจนะครับ เหมือนเป็นการสื่อสารระหว่างร่างกายและจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความไวรับรู้ด้วย เหมือนกับการรับรู้ความหิว ความอิ่ม หรือแม้แต่ความเจ็บปวด ที่ความไวก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต