รูปแบบการโฆษณาสินค้ามีอะไรบ้าง

10 การดู

เพิ่มความน่าสนใจให้สินค้าด้วยการนำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังการผลิต บอกเล่าที่มาที่ไปของวัตถุดิบคุณภาพสูง และกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภค ดึงดูดใจด้วยความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เหนือกว่า สร้างความประทับใจและจดจำแบรนด์ได้อย่างยาวนาน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กว่าจะมาเป็น…: ไขความลับเบื้องหลังรูปแบบการโฆษณาที่สร้าง “Connection” กับผู้บริโภค

โลกการตลาดปัจจุบันแข่งขันกันดุเดือด การจะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้นั้น ไม่ใช่แค่เพียงโฆษณาสินค้าอย่างเดียว แต่ต้องสร้าง “Connection” สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคจดจำและเลือกซื้อสินค้าของเรา และหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญนั่นคือ การเล่าเรื่องราวเบื้องหลังสินค้า ที่มากกว่าแค่คุณสมบัติและราคา

รูปแบบการโฆษณาสินค้ามีหลากหลาย แต่สามารถจำแนกได้อย่างกว้างๆ ดังนี้:

1. โฆษณาแบบเน้นคุณสมบัติ (Feature-based Advertising): เน้นบอกเล่าคุณสมบัติเด่น ประโยชน์ใช้สอย และข้อดีของสินค้าอย่างตรงไปตรงมา เหมาะกับสินค้าที่เน้นประสิทธิภาพ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า มักใช้ข้อมูล ตัวเลข และภาพประกอบที่ชัดเจน

2. โฆษณาแบบเน้นประโยชน์ (Benefit-based Advertising): มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการใช้สินค้า ไม่ใช่แค่บอกว่าสินค้า “ทำอะไรได้บ้าง” แต่บอกว่า “มันจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง” เช่น ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ใช่แค่บอกว่ามี SPF สูง แต่เน้นว่าช่วยป้องกันผิวไหม้ ลดริ้วรอย เป็นต้น

3. โฆษณาแบบเน้นอารมณ์ (Emotion-based Advertising): ใช้เรื่องราว ภาพ และเสียง เพื่อสร้างอารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำ เช่น โฆษณาที่เน้นความอบอุ่น ความสุข ความรัก หรือแม้แต่ความเศร้า เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย โฆษณานี้มักจะประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ และกระตุ้นความต้องการซื้อโดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงรายละเอียดทางเทคนิคมากนัก

4. โฆษณาแบบบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling Advertising): นี่คือหัวใจสำคัญของบทความนี้ การเล่าเรื่องราวเบื้องหลังการผลิต ไม่ว่าจะเป็นที่มาของวัตถุดิบคุณภาพสูง กระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน ความมุ่งมั่นของผู้ผลิต หรือแม้แต่เรื่องราวของชุมชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้จะสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความใส่ใจ ความพิเศษ และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่โฆษณาแบบอื่นๆ ทำได้ยาก เช่น การเล่าเรื่องราวของชาวไร่ชาที่ปลูกชาคุณภาพสูงบนดอยสูง หรือการบอกเล่าขั้นตอนการทำขนมด้วยสูตรลับเฉพาะตระกูล เป็นต้น

5. โฆษณาแบบ Influencer Marketing: การใช้บุคคลที่มีอิทธิพล เช่น ดารา นักแสดง หรือบล็อกเกอร์ มาช่วยโปรโมตสินค้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. โฆษณาแบบ Digital Marketing: การโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และอีเมล เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงกลุ่มและวัดผลได้ง่าย

การเลือกใช้รูปแบบการโฆษณาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสินค้า กลุ่มเป้าหมาย และงบประมาณ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเรื่องราวเบื้องหลังการผลิตเข้าไป จะช่วยเพิ่มมิติ ความน่าสนใจ และสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ช่วยสร้างความประทับใจ และความจดจำแบรนด์ได้อย่างยาวนาน ทำให้ผู้บริโภคไม่เพียงแค่ซื้อสินค้า แต่ยังซื้อ “เรื่องราว” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังไปพร้อมกันด้วย

#การตลาด สินค้า #รูปแบบ โฆษณา #โฆษณา สินค้า