โทรศัพท์ถูกขโมยทำไง

โทรศัพท์หาย… ทำไงดี?! คู่มือฉบับเร่งด่วน สู่การรับมืออย่างมีสติและรอบคอบ

เมื่อรู้ตัวว่าโทรศัพท์หาย… ความรู้สึกแรกคืออะไร? ตกใจ? กังวล? หรืออาจจะโกรธ? ไม่ว่าความรู้สึกไหนจะถาโถมเข้ามา สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตั้งสติ และเริ่มลงมือจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพราะทุกวินาทีมีความหมายในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สินของคุณ

หายนะที่ไม่คาดฝัน: โทรศัพท์ถูกขโมย หรือแค่ลืมไว้?

ก่อนจะปักใจเชื่อว่าถูกขโมย ลองย้อนนึกถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่คุณใช้โทรศัพท์ บางทีอาจจะแค่ลืมไว้ในร้านอาหาร คาเฟ่ หรือบนรถแท็กซี่ ลองโทรเข้าเบอร์ตัวเอง หรือขอให้คนใกล้ตัวช่วยโทร หากมีคนรับสาย นั่นก็เป็นโอกาสดีที่จะได้โทรศัพท์คืน

เมื่อแน่ใจแล้วว่า “หายจริง” หรือ “ถูกขโมย” สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้:

1. ตามรอยผ่านแอปพลิเคชันค้นหาอุปกรณ์:

• สำหรับผู้ใช้ iOS (iPhone/iPad): เปิดแอป “Find My” หรือ “ค้นหาของฉัน” บนอุปกรณ์ iOS เครื่องอื่น หรือเข้าผ่านเว็บไซต์ iCloud.com เพื่อระบุตำแหน่งล่าสุดของโทรศัพท์ที่หายไป

• สำหรับผู้ใช้ Android: เปิดแอป “Find My Device” หรือ “ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน” (บางรุ่นอาจใช้ชื่อ Google Find My Device) บนอุปกรณ์ Android เครื่องอื่น หรือเข้าผ่านเว็บไซต์ android.com/find เพื่อค้นหาตำแหน่ง

  เคล็ดลับ: แอปเหล่านี้ต้องถูกเปิดใช้งานไว้ก่อนที่โทรศัพท์จะหาย หากยังไม่ได้เปิดใช้งาน อาจต้องพึ่งวิธีอื่น ๆ แทน

2. ล็อกเครื่องจากระยะไกล:

• iOS: ในแอป Find My เลือก “Mark As Lost” หรือ “ทำเครื่องหมายว่าสูญหาย” เพื่อล็อกหน้าจอ แสดงข้อความและเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้บนหน้าจอ

• Android: ในแอป Find My Device เลือก “Secure Device” หรือ “รักษาความปลอดภัยอุปกรณ์” เพื่อล็อกหน้าจอ กำหนดรหัสผ่านใหม่ และแสดงข้อความบนหน้าจอ

  เหตุผล: ป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น รูปภาพ วิดีโอ ข้อความ อีเมล หรือข้อมูลทางการเงิน

3. เปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีสำคัญทั้งหมด:

• อีเมล: Gmail, Hotmail, Yahoo Mail

• โซเชียลมีเดีย: Facebook, Instagram, Twitter

• ธนาคารและแอปพลิเคชันทางการเงิน: KBank, SCB Easy, TrueMoney Wallet, Rabbit LINE Pay

• แอปพลิเคชันช้อปปิ้ง: Shopee, Lazada

  ทำไมต้องเปลี่ยนรหัสผ่าน: เพื่อป้องกันการเข้าถึงบัญชีส่วนตัวของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต และป้องกันการทำธุรกรรมทางการเงินโดยมิชอบ

4. แจ้งความกับตำรวจ:

• ไปที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน พร้อมหลักฐาน เช่น ใบแจ้งความ ใบเสร็จการซื้อโทรศัพท์ (ถ้ามี) และข้อมูล IMEI ของโทรศัพท์

• แจ้งรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถานที่ เวลา และลักษณะของคนร้าย (ถ้าทราบ)

• ขอใบแจ้งความเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการอื่น ๆ

  ข้อดีของการแจ้งความ: เป็นหลักฐานทางกฎหมาย หากโทรศัพท์ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย คุณจะไม่ต้องรับผิดชอบ

5. ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์:

• โทรศัพท์ไปที่ Call Center ของ AIS, TrueMove H หรือ DTAC

• แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ที่หาย และขอระงับซิมการ์ด

• สอบถามเรื่องการออกซิมการ์ดใหม่ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานหมายเลขเดิมได้

  ประโยชน์ของการระงับซิม: ป้องกันการโทรออก การใช้อินเทอร์เน็ต หรือการทำธุรกรรมผ่าน SMS โดยมิชอบ

6. ลบข้อมูลจากระยะไกล (ทางเลือกสุดท้าย):

• iOS: ในแอป Find My เลือก “Erase iPhone” หรือ “ลบ iPhone”

• Android: ในแอป Find My Device เลือก “Erase Device” หรือ “ลบอุปกรณ์”

  ข้อควรระวัง: การลบข้อมูลจะลบข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ของคุณอย่างถาวร และจะไม่สามารถติดตามโทรศัพท์ได้อีกต่อไป ใช้ตัวเลือกนี้เฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถกู้คืนโทรศัพท์ได้ และต้องการปกป้องข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

• สำรองข้อมูลเป็นประจำ: การสำรองข้อมูลในโทรศัพท์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณกู้คืนข้อมูลได้ง่ายขึ้น หากโทรศัพท์หาย
• เปิดใช้งานการล็อกหน้าจอด้วยรหัสผ่านหรือลายนิ้วมือ: เพิ่มความปลอดภัยให้กับโทรศัพท์ของคุณ แม้ว่าจะถูกขโมยไป
• ติดตั้งแอปพลิเคชันป้องกันไวรัส: ช่วยป้องกันมัลแวร์และภัยคุกคามทางไซเบอร์อื่น ๆ ที่อาจแฝงตัวมากับแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
• ระมัดระวังการใช้งานโทรศัพท์ในที่สาธารณะ: หลีกเลี่ยงการวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หรือในที่ที่เสี่ยงต่อการถูกขโมย

สรุป:

การที่โทรศัพท์หายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นแล้ว การตั้งสติและดำเนินการตามขั้นตอนที่กล่าวมา จะช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายตามมา Remember: ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด!

#ติดต่อค่าย #แจ้งความ #โทรศัพท์หาย