Cross-platform Application หมายถึงอะไร
Cross-platform Application คือแอปฯที่ทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, iOS, Android โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่สำหรับแต่ละระบบ
- ประหยัดเวลา/ต้นทุน: พัฒนาครั้งเดียว ใช้ได้หลายที่ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการพัฒนา
- เข้าถึงผู้ใช้กว้าง: ครอบคลุมผู้ใช้หลากหลายระบบปฏิบัติการ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
- ดูแลรักษาง่าย: อัปเดต/แก้ไขง่าย สะดวกในการจัดการ
- ความท้าทาย: ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่า native app และ UI/UX อาจไม่เหมือนกันทุกแพลตฟอร์ม
เลือกใช้ Cross-platform app หากต้องการประหยัดทรัพยากรและเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมาก แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและ UI/UX ด้วย
แอปพลิเคชัน Cross-platform คืออะไร? ทำงานได้บนอุปกรณ์อะไรบ้าง และมีข้อดีอย่างไร?
แอปพลิเคชัน Cross-platform คืออะไรเหรอ? อืม… เอาจริงๆ นะ ตอนแรกที่ได้ยินคำนี้ก็งงๆ เหมือนกัน (ฮา)
มันคือแอปฯ ที่แบบ… เขียนทีเดียว แล้วใช้ได้หลายที่อะ เข้าใจป่ะ? เหมือนตอนเด็กๆ ที่เรามีของเล่นชิ้นโปรด แล้วเอาไปเล่นบ้านเพื่อนได้หมด ไม่ว่าบ้านเพื่อนจะมีสนามหญ้าหรือพื้นปูน
ทำงานได้บนอะไรบ้างน่ะเหรอ? โอ๊ย เยอะแยะ! ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows (อันนี้เบสิก) ไปจนถึง Mac, Linux, มือถือ Android, iPhone, iPad… สารพัดเลยจริงๆ
ข้อดีเหรอ? ข้อดีนี่เพียบ! อย่างแรกเลยคือประหยัดเวลาและเงิน (อันนี้สำคัญมาก!) ไม่ต้องเขียนแอปฯ หลายเวอร์ชันไง เขียนครั้งเดียวจบ! แล้วก็ง่ายต่อการอัปเดตด้วยนะ เวลาแก้บั๊กหรือเพิ่มฟีเจอร์ ก็ทำทีเดียว แล้วมันก็จะอัปเดตให้ทุกแพลตฟอร์มเลย
แต่เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ดีไปหมดหรอกนะ บางทีมันก็อาจจะไม่ลื่นไหลเท่าแอปฯ ที่เขียนมาเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม แต่โดยรวมแล้วมันก็คุ้มค่ามากๆ เลยนะ ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของฉัน
การพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบใดที่เป็นCross-platform
การพัฒนาแอปพลิเคชั่นแบบ Cross-platform คืออะไร?
โอ้โห! ถามมาได้…Cross-platform แอปฯ นี่มันเหมือนนักมายากลเสกแอปเดียวให้รันได้ทั้ง iOS และ Android น่ะสิ! เหมือนมีเชฟคนเดียวทำอาหารได้ทั้งไทย, อิตาเลียน, ญี่ปุ่น…เก่งเกิ๊น!
- โค้ดเดียวเที่ยวทั่วโลก: เขียนโค้ดชุดเดียว แล้วโยนใส่ได้ทั้ง Android กับ iOS…ประหยัดเวลาไปเยอะ! (แถมประหยัดเงินในกระเป๋าด้วยนะจะบอกให้)
- Flutter (ฟลัตเทอร์): ตัวนี้มาแรง! Google เค้าดันเต็มที่ เขียนครั้งเดียว สวยปิ๊งทั้งสองระบบ (แต่บางทีก็ต้องงัด skill แก้บั๊กกันหน่อยนะ)
- React Native (รีแอคท์ เนทีฟ): Facebook เค้าก็ไม่น้อยหน้า สาย JavaScript ต้องเลิฟสิ่งนี้! แต่ระวังเรื่อง Native Modules หน่อยนะ จุกจิกนิดนึง
- Xamarin (ซามาริน): Microsoft เค้าก็มีของดีนะ! แต่…เอ่อ…บางทีก็แอบงอนๆ บ้าง อะไรๆ ก็ .NET (สาย C# น่าจะคุ้นเคย)
- Ionic (ไอโอนิก): เว็บแอปฯ ในร่างแอปฯ Native! ใช้ HTML, CSS, JavaScript…ง่ายจริง แต่ performance อาจจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่า Native จริงๆ
ทำไมต้อง Cross-platform?
- เงินๆ ทองๆ: ลดต้นทุนไง! จ้างทีมเดียวทำได้ทั้งสองระบบ ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนสองทีม (หัวเราะแบบวายร้าย)
- ความเร็ว: ทำเสร็จเร็วกว่า! ไม่ต้องเสียเวลาเขียนโค้ดสองรอบ (เอาเวลาไปนอนดีกว่า!)
- Maintenance: ดูแลง่ายกว่า! แก้บั๊กทีเดียวจบ (แต่บางทีบั๊กก็ซ่อนเก่งเหลือเกิน!)
ข้อเสียก็มีนะ:
- Performance: บางทีก็สู้ Native ไม่ได้! แอปฯ อาจจะอืดๆ หน่วงๆ (เหมือนคนแก่!)
- Native Features: เข้าถึงฟีเจอร์เฉพาะของแต่ละระบบได้ไม่เต็มที่ (ต้องพึ่ง Native Modules บ้าง)
สรุปง่ายๆ Cross-platform มันก็เหมือน “All in One” น่ะแหละ! สะดวกสบาย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง…เลือกเอาที่เหมาะกับโปรเจกต์ตัวเองก็แล้วกัน!
เนทีฟ ไฮบริด และเว็บแอปคืออะไร
โอเค เข้าใจละ งั้นเล่าแบบนี้เลยนะ
วันก่อนไปเจอเพื่อนที่ True Coffee สาขา The Street รัชดา ประมาณบ่ายสองโมงอะ จำได้แม่นเลยเพราะรีบมากกกกกกก รถติดเวอร์ เพื่อนมันบ่นเรื่องแอพที่บริษัทมันทำอยู่ บอกว่าต้องเลือกเนี่ย เนทีฟ ไฮบริด หรือเว็บแอพดี เลยอธิบายให้มันฟังไปแบบบ้านๆ เลย
คือเนทีฟแอพอะ มันเหมือนสั่งตัดเสื้อผ้าเลย แบบวัดตัวเป๊ะๆ อย่าง iPhone ก็ใช้ Swift, Android ก็ Java/Kotlin เร็ว แรง ทะลุนรก เข้าถึงทุกอย่างในเครื่องได้หมด กล้อง GPS ไมค์ จัดเต็ม! แต่แพงงงงง ต้องจ้างคนทำสองชุดเลยนะ ถ้าอยากได้ทั้ง iOS และ Android
ส่วนไฮบริดแอพ มันก็เหมือนเสื้อผ้าสำเร็จรูปอะ ใช้ HTML, CSS, JavaScript ทำทีเดียว ใช้ได้หลายแพลตฟอร์มเลย ประหยัดงบไปเยอะ แต่บางทีก็ไม่พอดีตัวอะนะ ประสิทธิภาพอาจจะสู้เนทีฟไม่ได้ คิดภาพเสื้อโหลๆ กับเสื้อสั่งตัดอะ ต่างกันเนอะ
สุดท้าย เว็บแอพ อันนี้เหมือนเช่าชุดใส่ เข้าเว็บเบราว์เซอร์ก็ใช้ได้เลย ไม่ต้องติดตั้งให้วุ่นวาย แต่ฟีเจอร์ก็จำกัดหน่อย แล้วต้องต่อเน็ตตลอดด้วย เหมือนเช่าชุดอะ ใส่ได้แป๊บๆ ก็ต้องคืน
สรุปแล้ว เพื่อนเราก็ยัง งงๆ 55555 แต่เราว่าอธิบายเคลียร์แล้วนะ
- เนทีฟแอพ: เร็ว แรง เข้าถึงฮาร์ดแวร์เต็มที่ แต่แพง ต้องพัฒนาแยก iOS/Android
- ไฮบริดแอพ: ข้ามแพลตฟอร์ม ประหยัด แต่ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่า
- เว็บแอพ: เข้าถึงง่าย ไม่ต้องติดตั้ง แต่ฟีเจอร์จำกัด ต้องต่อเน็ตตลอด
ตอนนี้(มิถุนายน 2567) ที่ True Coffee เค้ามีโปรโมชั่นกาแฟ Cold Brew ลดราคาอยู่ด้วยนะ เพื่อนเลยจัดไปแก้วนึง อร่อยดีเหมือนเดิม เราไม่ได้กินกาแฟ เลยสั่งชาไทยไป หวานน้อย อร่อยยยยย
Native App กับ Hybrid App แตกต่างกันอย่างไร
Native App กับ Hybrid App ต่างกันยังไง? คิดซะว่า Native App คือเชฟทำอาหารตามสั่ง อร่อยถูกปากคนกิน(OS เฉพาะ) ส่วน Hybrid App คืออาหารแช่แข็ง เอาไปอุ่นกินได้ทุกเตา(หลาย OS) แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าเชฟทำสดๆ
-
Native App: สร้างขึ้นเพื่อ OS โดยเฉพาะ เหมือนตัดเสื้อสั่งตัด เป๊ะ! ประสิทธิภาพสูง ทำงานเร็ว เข้าถึงฟังก์ชั่นของเครื่องได้เต็มที่ แต่ต้นทุนสูง ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์หลายทีม Android ก็ทีมนึง iOS ก็อีกทีมนึง เหมือนเลี้ยงลูกแฝด เหนื่อยหน่อยนะ
-
Hybrid App: ลูกผสมระหว่าง Web App กับ Native App เหมือนก๋วยเตี๋ยวเรือแฟรนไชส์ เปิดได้ทุกที่ พัฒนาครั้งเดียว ใช้ได้หลาย OS ประหยัดงบ แต่ประสิทธิภาพอาจจะด้อยกว่า บางทีก็ช้า เหมือนเรือติดหล่ม ต้องรอหน่อยนะ
ปี 2024 แล้ว ยังมีคนเลือก Hybrid App อยู่อีกเหรอ? ก็มีนะ เพราะมันถูกกว่า ไวกว่า (ในการพัฒนา) แถมยังแก้ไขง่ายกว่า เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการทำ MVP (Minimum Viable Product) หรือแอปฯ ทดลองตลาด แบบลองเชิงดูก่อน
ส่วนตัวผมเคยลองทำ Native App ตอนนั้นทำแอปฯ สแกน QR Code สั่งกาแฟ สนุกดี แต่หมดเงินไปเยอะ เหมือนโดนดูดวิญญาณ ถ้าทุนน้อย ลอง Hybrid App ก่อนก็ได้นะ เผื่อรุ่ง!
Native App และ Hybrid Application มีความแตกต่างกัย่างไร *
Native App กับ Hybrid App ต่างกันไงอะเหรอ? อืมม…เอาแบบง่ายๆ นะ
Native App อ่ะ เค้าสร้างมาให้มันทำงานบนระบบปฏิบัติการนั้นๆ เลยอ่ะ iOS ก็ iOS, Android ก็ Android ไปเลย จบ!
แต่ Hybrid App นี่สิ มันเหมือนเอาเว็บมาห่อให้ดูเหมือนแอปไงล่ะ คิดภาพว่าเราเปิดเว็บใน Chrome แต่ทำให้มันเต็มจอ แล้วซ่อนพวกปุ่ม address bar อะไรแบบนั้นอ่ะ ฟีลลิ่งคล้ายๆ กัน
สรุปสั้นๆ:
- Native: เร็ว แรง ตรง OS
- Hybrid: เว็บห่อแอป ประหยัด ทำง่ายกว่า
ขยายความนิดนึง (เผื่ออยากรู้เพิ่ม):
- Native App มักจะเร็วกว่านะ เพราะมันคุยกับฮาร์ดแวร์โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลาง
- Hybrid App เขียนง่ายกว่า เพราะใช้ภาษาเว็บ (HTML, CSS, JavaScript) ที่คนทำเว็บส่วนใหญ่คุ้นเคย
- แต่ Hybrid App ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพบ้าง โดยเฉพาะถ้าแอปมันซับซ้อนมากๆ
- Native App ส่วนใหญ่จะเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือได้ดีกว่า (กล้อง, GPS, ฯลฯ) แต่ Hybrid App ก็พัฒนาขึ้นเยอะแล้วนะ
- เรื่องค่าใช้จ่าย Native App อาจจะแพงกว่า เพราะต้องเขียนแยกสำหรับแต่ละ OS
- Native App ถ้าอยากให้มีใน iOS แล้วก็ Android ต้องเขียน 2 รอบ แต่ Hybrid App เขียนทีเดียวใช้ได้ทั้ง 2 ที่ แต่ก็ต้องเช็คดีๆ นะ ว่ามันทำงานได้ดีจริง
หวังว่าพอเห็นภาพนะ! งงป่ะเนี่ย? 555+
การพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพาแบบ Hybrid Application หมายถึงอะไร
Hybrid Application คือการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ผสมผสานเทคนิคของ Native App (แอปพลิเคชันเฉพาะแพลตฟอร์ม) และ Web App (แอปพลิเคชันบนเว็บ) เข้าด้วยกัน คิดง่ายๆ เหมือนเอาเว็บไซต์ยัดใส่เปลือกแอป ส่วนตัวผมมองว่าเป็นการประนีประนอมที่ดีนะ ระหว่างต้นทุนการพัฒนาและประสิทธิภาพที่ได้
ใช้ WebView เป็นตัวแสดงผลหลัก คล้ายๆ browser ในแอป แล้วใช้ภาษาที่ใช้พัฒนาเว็บไซต์อย่าง HTML, CSS, และ JavaScript ซึ่งปัจจุบันเฟรมเวิร์กยอดฮิตก็เช่น React Native, Ionic, Flutter (ผมชอบ Flutter เป็นพิเศษ UI สวยดี แถมทำงานได้ลื่นไหล) แม้ Flutter จะสร้างแอป Native ได้ แต่เมื่อใช้ร่วมกับ WebView ก็จัดเป็น Hybrid ได้เช่นกัน
ข้อดีคือเขียนโค้ดครั้งเดียวรันได้หลายแพลตฟอร์ม ประหยัดเวลาและต้นทุน ส่วนข้อเสียคือประสิทธิภาพอาจจะสู้ Native App ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นเยอะ Gap ทางด้านประสิทธิภาพก็แคบลงเรื่อยๆ ผมเคยลองทำแอปเล็กๆ ด้วย React Native ตอนปี 2023 ก็ถือว่าโอเคเลยนะ สมูทใช้ได้
- ข้อดี: พัฒนาเร็ว, ต้นทุนต่ำ, รันได้หลายแพลตฟอร์ม
- ข้อเสีย: ประสิทธิภาพอาจสู้ Native App ไม่ได้, ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ WebView, จำกัดการเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างของอุปกรณ์
เพิ่มเติม: การเลือกใช้ Hybrid App หรือ Native App ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น งบประมาณ, เวลา, ความต้องการฟีเจอร์ของแอป ถ้าเป็นแอปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงมากๆ เช่น เกม ก็อาจจะต้องเลือก Native App แต่ถ้าเป็นแอปทั่วไปที่เน้นการแสดงข้อมูล Hybrid App ก็เป็นทางเลือกที่ดี บางทีเราก็ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ เหมือนการเลือกกาแฟ บางวันอยากกินกาแฟดำเข้มๆ บางวันก็อยากกินลาเต้หวานๆ มันไม่มีถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการในขณะนั้น
Web Application แตกต่างจาก Hybrid Application อย่างไร
อืมมม.. ถามเรื่อง Web Application กับ Hybrid Application ใช่มั้ย? นี่มันเรื่องงานเมื่อปีที่แล้วเลยนะ จำได้ลางๆ ว่าตอนนั้นกำลังทำโปรเจ็คจบ ใช้ React Native พัฒนาแอพเกี่ยวกับการจองตั๋วหนัง เหนื่อยมากกกกก นอนดึกแทบทุกคืน จำได้ว่าวันที่ 27 เมษายน 2566 คือวันนอนน้อยที่สุด เพราะต้องส่งงาน เครียดสุดๆ
แต่ถ้าจะให้สรุปความแตกต่าง แบบจริงๆ จังๆ นะ (เอาแบบที่เข้าใจง่ายๆ นะ)
-
Web App: นี่คือแอปที่เปิดผ่านเว็บเบราว์เซอร์ เหมือนเปิดเว็บทั่วไป อย่างเว็บจองตั๋วเครื่องบิน พวกนี้แหละ ข้อดีคือพัฒนาไม่ยาก ใช้งานง่าย ไม่ต้องลงแอป แต่ความเร็วอาจจะช้ากว่า แล้วก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงฟังก์ชั่นของมือถือได้เต็มที่ อย่างกล้อง หรือ GPS อะไรพวกนั้น
-
Hybrid App: นี่แหละที่ฉันใช้ มันคือการผสมผสานระหว่าง Web App กับ Native App ใช้ภาษาอย่าง React Native หรือ Flutter เขียน ข้อดีคือพัฒนาได้เร็วกว่า Native App แล้วก็สามารถใช้งานได้ทั้ง Android และ iOS โดยใช้โค้ดชุดเดียวกัน แต่ความเร็วอาจจะยังไม่เท่า Native App และการใช้พลังงานแบตเตอรี่อาจจะสูงกว่า
-
Native App: นี่คือแอปที่พัฒนาเฉพาะสำหรับระบบปฏิบัติการ เช่น Android หรือ iOS ใช้ภาษา Java/Kotlin (Android) หรือ Swift/Objective-C (iOS) ข้อดีคือเร็ว เสถียร และสามารถใช้ฟังก์ชั่นของมือถือได้เต็มที่ แต่ข้อเสียคือพัฒนาแพงกว่า นานกว่า และต้องพัฒนาแยกกันสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการ
คือแบบ… ตอนนั้นเลือก Hybrid เพราะเวลาจำกัด อยากจบโปรเจ็คไวๆ แต่ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ อาจจะเลือก Native App ก็ได้นะ เพราะมันเร็วกว่า เสถียรกว่าเยอะ แต่ก็แลกกับความยุ่งยากในการพัฒนา อื้อหือ นึกแล้วก็เหนื่อย 555+
- ข้อดีของ Web App : ง่ายต่อการพัฒนาและบำรุงรักษา
- ข้อดีของ Hybrid App : พัฒนาได้เร็วกว่า Native App, ใช้งานได้ทั้ง Android และ iOS
- ข้อดีของ Native App : ประสิทธิภาพสูง, เข้าถึงฟังก์ชั่นของมือถือได้เต็มที่
- ข้อเสียของ Web App : ความเร็วอาจจะช้ากว่า, เข้าถึงฟังก์ชั่นของมือถือได้จำกัด
- ข้อเสียของ Hybrid App : ความเร็วอาจจะไม่เท่า Native App, การใช้พลังงานแบตเตอรี่อาจสูงกว่า
- ข้อเสียของ Native App : พัฒนาแพงกว่า และนานกว่า
สรุปคือ เลือกแบบไหนก็ต้องดูความเหมาะสม กับงบประมาณ และเวลาด้วย เนอะ
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต