ผู้ป่วยจิตเวชสามารถทําธุรกรรมได้หรือไม่

19 การดู

บุคคลที่มีภาวะสุขภาพจิตบางประเภทสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ เช่น การซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าขณะนั้นบุคคลนั้นขาดสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิงจนไม่สามารถเข้าใจสาระสำคัญของธุรกรรม และอีกฝ่ายรู้ถึงภาวะดังกล่าว จึงจะถือเป็นโมฆียะ การพิจารณาแต่ละกรณีขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐานประกอบ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ผู้ป่วยจิตเวช: ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางกฎหมาย

ท่ามกลางความเข้าใจผิดและความเชื่อที่คลาดเคลื่อนมากมายเกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเวช คำถามที่สำคัญประการหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “ผู้ป่วยจิตเวชสามารถทำธุรกรรมทางกฎหมายได้หรือไม่?” คำตอบนั้นซับซ้อนกว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” และจำเป็นต้องพิจารณาอย่างละเอียดถึงข้อเท็จจริงทางกฎหมายและทางการแพทย์

โดยทั่วไปแล้ว การมีภาวะสุขภาพจิตบางประเภท ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะหมดสิทธิในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ การทำสัญญา หรือการโอนกรรมสิทธิ์โดยอัตโนมัติ กฎหมายให้ความสำคัญกับสิทธิและความสามารถของบุคคลในการจัดการทรัพย์สินของตนเอง เว้นแต่จะมีการพิสูจน์ได้ว่าในขณะที่ทำธุรกรรมนั้น บุคคลดังกล่าวอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถเข้าใจถึงสาระสำคัญของการกระทำของตนเองได้อย่างแท้จริง

ปัจจัยชี้ขาด: สติสัมปชัญญะและความเข้าใจ

หัวใจสำคัญของการพิจารณาคือ “สติสัมปชัญญะ” หรือ “ความสามารถในการเข้าใจ” ของผู้ป่วยในขณะที่ทำธุรกรรม หากผู้ป่วยสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติและผลกระทบของธุรกรรมนั้นได้ พวกเขาย่อมมีสิทธิที่จะทำธุรกรรมนั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม หากมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยขาดสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง ณ เวลาที่ทำธุรกรรม เช่น อยู่ในภาวะเพ้อคลั่ง สับสนอย่างรุนแรง หรือได้รับผลกระทบจากอาการทางจิตอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ได้ ธุรกรรมนั้นอาจถูกพิจารณาว่าเป็น โมฆียะ ซึ่งหมายความว่าสามารถถูกยกเลิกได้

บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง: ความรู้และเจตนา

นอกจากสติสัมปชัญญะของผู้ป่วยแล้ว กฎหมายยังให้ความสำคัญกับความรู้และเจตนาของอีกฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวข้องในธุรกรรมนั้น หากอีกฝ่ายทราบดีถึงภาวะทางจิตของผู้ป่วย และฉวยโอกาสจากความอ่อนแอทางจิตใจนั้น ธุรกรรมดังกล่าวอาจถูกพิจารณาว่าเป็นโมฆียะได้ง่ายยิ่งขึ้น

การพิจารณาเป็นรายกรณี: หลักฐานสำคัญที่สุด

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ การพิจารณาความสามารถในการทำธุรกรรมของผู้ป่วยจิตเวชจะเป็นไปในลักษณะ รายกรณี ไม่มีกฎตายตัวที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสถานการณ์ แต่ละกรณีจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดโดยอิงจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

หลักฐานที่อาจถูกนำมาพิจารณา ได้แก่:

  • ประวัติทางการแพทย์: ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะทางจิต การรักษา และยาที่ผู้ป่วยได้รับ
  • ความเห็นของแพทย์: ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเกี่ยวกับความสามารถทางจิตของผู้ป่วย ณ เวลาที่ทำธุรกรรม
  • พยานหลักฐานจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง: คำให้การจากบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือรู้จักผู้ป่วยเป็นอย่างดี
  • เอกสารประกอบการทำธุรกรรม: ตรวจสอบความชัดเจนและความถูกต้องของเอกสาร

บทสรุป: ความสมดุลระหว่างสิทธิและความคุ้มครอง

กฎหมายพยายามสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องสิทธิของผู้ป่วยจิตเวชในการจัดการทรัพย์สินของตนเอง กับการคุ้มครองพวกเขาจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการทำธุรกรรมของผู้ป่วยจิตเวช ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและทางการแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ

ข้อควรระวัง: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย หากท่านมีปัญหาทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์ของท่าน