ทำยังไงให้ได้ไปเรียนต่างประเทศ

17 การดู

เรียนต่อต่างประเทศ: วางแผนล่วงหน้า!

1. วิจัย: ศึกษาข้อมูลมหาวิทยาลัย หลักสูตรที่สนใจ และค่าใช้จ่าย อย่าพึ่งรีบใช้บริการเอเจนซี่ ศึกษาด้วยตัวเองก่อน เพื่อเปรียบเทียบราคาและบริการ

2. เลือกหลักสูตร: ลิสต์ 3 หลักสูตรที่ชอบ ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร วันปิดรับสมัคร และค่าเรียนอย่างละเอียด

3. ภาษา: เตรียมสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (TOEFL, IELTS) ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ควรสอบให้ได้คะแนนสูงตามเกณฑ์

4. เอกสาร: เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น ใบสมัคร Transcript ใบรับรองผลการเรียน คะแนนสอบภาษา และจดหมายแนะนำ ให้ครบถ้วนถูกต้อง

5. สมัคร: ยื่นใบสมัครและเอกสารต่างๆ ตามกำหนดเวลา ติดตามสถานะการสมัครอย่างใกล้ชิด

6. วีซ่า: เมื่อได้รับการยอมรับแล้ว ดำเนินการขอวีซ่านักเรียนทันที เตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อให้ทันเวลาเริ่มเรียน

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เรียนต่อต่างประเทศ: เคล็ดลับและขั้นตอนอย่างไร?

อืมม.. เรียนต่อต่างประเทศเนี่ยนะ ฉันเองก็เคยคิดอยากไปเรียนที่อังกฤษ ตอนนั้นประมาณปี 2018 อยากเรียนด้านการออกแบบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ติดปัญหาเรื่องเงินนี่แหละ พ่อแม่บอกว่าแพงเกินไป ตอนนั้นหาข้อมูลเองแทบทั้งหมดเลย ไม่มีเอเจนซี่มาช่วย เหนื่อยมาก จำได้ว่าใช้เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง หาข้อมูลหลักสูตร ค่าใช้จ่าย วันปิดรับสมัคร ทุกอย่างต้องทำเองหมดเลย

หาข้อมูลหลักสูตรที่สนใจอย่างจริงจัง ลองส่งเมลถามมหาวิทยาลัยไปหลายที่เลย ได้คำตอบกลับมาบ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วก็ต้องเตรียมตัวสอบ IELTS ที่ British Council สมัครสอบเอง ค่าสอบก็แพงอยู่ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แน่ แต่ก็หลายพันอยู่ แล้วก็ต้องเตรียมเอกสาร ใบรับรองผลการเรียน แปลเอกสาร ยุ่งยากมาก สุดท้ายก็ถอดใจ เพราะรู้สึกว่ามันยากเกินไปสำหรับตอนนั้น เงินก็ไม่พอ แถมภาษาอังกฤษก็ยังไม่ดีพออีก ตอนนี้เลยคิดว่า ถ้าจะเรียนต่อต่างประเทศจริงๆ ควรวางแผนดีๆ หาข้อมูลให้ครบถ้วน และเตรียมเงินให้พร้อมด้วย อย่าเหมือนฉันเลย เสียเวลาไปเปล่าๆ

ไปเรียนต่างประเทศได้อะไร?

เรียนต่างประเทศ: ประสบการณ์ มิติใหม่

  • มุมมองโลกกว้างขึ้น ชีวิตไม่จำกัดกรอบเดิม
  • ทักษะใหม่ ปรับตัว รับมือสิ่งท้าทาย
  • เครือข่าย มิตรภาพข้ามชาติ โอกาสอนาคต

งบประมาณ: ตัวเลขไม่ใช่ทุกอย่าง แต่จำเป็น

  • ปริญญาตรี: 600,000 – 1,500,000 บาท/ปี (2566) ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและสาขา
  • ปริญญาโท: 700,000 – 1,500,000 บาท/ปี (2566) ขึ้นกับหลักสูตรและสถาบัน
  • ปริญญาเอก: 800,000 – 1,500,000 บาท/ปี (2566) ขึ้นกับความยากของวิทยานิพนธ์ และทุนวิจัย

หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ทุนการศึกษาเป็นตัวช่วยสำคัญ ต้องศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยตรง อย่าตัดสินใจเพียงข้อมูลนี้ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความพยายามและการวางแผนส่วนบุคคล

คนไทยไปทำงานประเทศไหนดี?

ไปทำงานประเทศไหนดีน่ะเหรอ? ถามยากว่ะ! เหมือนถามว่า “กินอะไรดีวะ?” ตอบยากเหมือนกันเนอะ! แต่ถ้าจะให้จัดอันดับแบบฮาๆ ปีนี้(2566) ผมว่านะ…

  • อันดับ 1 ญี่ปุ่น: เงินเดือนดี๊ดี! แต่เหนื่อยโคตร! เหมือนปีนเขาฟูจิทุกวัน ไม่มีวันหยุด แถมอาหารก็… เอ่อ… บางทีก็ไม่ถูกปากเท่าไหร่ แต่ก็แลกกับเงินเป็นกอบเป็นกำ!

  • อันดับ 2 ออสเตรเลีย: ชีวิตสบายๆ แต่ค่าครองชีพสูงเว่อร์! เหมือนอยู่บนเกาะสวรรค์แต่ต้องขายไตจ่ายค่าเช่า เหมาะกับคนรวย หรือมีญาติเป็นเศรษฐี

  • อันดับ 3 สิงคโปร์: สะอาดสะอ้าน เจริญสุดๆ แต่ก็แออัดเหมือนปลากระป๋อง ชีวิตเร่งรีบ เหมือนวิ่งมาราธอนทุกวัน แต่เงินเดือนก็โอเคอยู่นะ

  • อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา: โอกาสเยอะแยะ! แต่ก็ต้องสู้กับคนทั้งโลก! เหมือนไปรบในสงคราม แต่ถ้าชนะก็รวยเละ! ต้องเก่งจริงถึงอยู่รอดได้

  • อันดับ 5 อังกฤษ: อากาศแบบ… อืม… ไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ แต่ภาษาอังกฤษได้ใช้เต็มที่ เสาร์อาทิตย์ไปนั่งดื่มเบียร์ใน Pub สุดชิว แต่ค่าครองชีพก็สูงเหมือนกันนะ

  • อันดับ 6 ไต้หวัน: ใกล้บ้านเรา วัฒนธรรมคล้ายๆ กัน เดินทางสะดวก แต่ก็ต้องขยันหน่อยนะ ไม่งั้นก็เหนื่อยเปล่า

  • อันดับ 7 แคนาดา: ธรรมชาติสวยงาม อากาศดี แต่หนาวโคตร! เหมือนไปอยู่ขั้วโลกเหนือ แต่ถ้าชอบหิมะก็จัดไป

  • อันดับ 8 สวิตเซอร์แลนด์: สวยหรูดูแพง! แต่ค่าครองชีพสูงจนต้องขายบ้านขายรถ เหมาะกับคนมีเงินล้นฟ้า หรือได้รับมรดกมหาศาล

เพิ่มเติมเล็กน้อย (จากประสบการณ์ส่วนตัวของเพื่อน): เพื่อนผมไปทำงานที่ญี่ปุ่น กลับมาบอกว่า เงินเดือนดีจริง แต่ก็เหนื่อยจนอยากกลับบ้านไปนอนกรนบนที่นอน ส่วนเพื่อนอีกคนไปออสเตรเลีย ทำงานเก็บเกี่ยวผลไม้ กลับมาผิวแทนเป็นสีช็อกโกแลต แต่ก็เก็บเงินได้เยอะเหมือนกันนะ สรุปแล้ว ขึ้นอยู่กับความชอบและความสามารถของแต่ละคนจริงๆ ลองพิจารณาดูให้ดีๆ อย่าลืมเช็ควีซ่าด้วยล่ะ!

#การสมัครเรียน #เตรียมตัว #เรียนต่างประเทศ