ศัลยแพทย์ผ่าตัดเรียนกี่ปี

27 การดู

ศัลยแพทย์ใช้เวลาเรียนนานกว่าแพทย์ทั่วไป แพทย์ทั่วไปเรียน 6 ปี ต่อด้วยการเรียนเฉพาะทางศัลยกรรมอีก 5-6 ปี รวมแล้วอย่างน้อย 11-12 ปี ขึ้นกับสาขาและสถาบันการศึกษา นอกจากนี้ ยังต้องผ่านการฝึกอบรมและสอบใบประกอบวิชาชีพ จึงจะสามารถประกอบวิชาชีพได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เรียนหมอผ่าตัดนานกี่ปี? กว่าจะเป็นศัลยแพทย์ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?

อื้อหือ…คำถามนี้ใช่เลย! เพื่อนสนิทฉันเองน่ะเรียนหมอผ่าตัด จำได้ว่ามันบอกว่าเรียนแพทย์พื้นฐาน 6 ปี ที่จุฬาฯ แล้วก็ต่อเฉพาะทางศัลยกรรมกระดูกอีก 5 ปีเต็มๆ นี่รวมแล้วก็ 11 ปีเลยนะ แต่! นี่ไม่นับเวลาฝึกงานที่โรงพยาบาลอีกนะ มันบอกว่าเหนื่อยมากกกกก แบบนอนดึก ตื่นเช้า สอบบ่อย งานหนัก คือชีวิตมันแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเรียนกับโรงพยาบาล แต่ได้เงินเดือนนะ ตอนฝึกงานได้เดือนละประมาณ 2 หมื่นกว่าๆ แต่ก็เอาไปจ่ายค่าที่พัก ค่ากินหมดละ ฉันว่ากว่าจะเป็นหมอเนี่ย ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ ต้องอดทนมากๆ ด้วย จริงๆ

เขาบอกว่า ตอนสอบใบประกอบวิชาชีพนี่ เครียดสุดๆ จำได้เลย วันนั้นมันโทรมาบอกฉันเสียงสั่นๆ บอกว่าแทบจะนอนไม่หลับเลย แล้วหลังจากนั้นก็ต้องทำงานหนักต่ออีก กว่าจะได้เป็นศัลยแพทย์เต็มตัวนี่ ใช้เวลาเป็นสิบปีเลย กว่าจะถึงจุดนั้นได้ ต้องผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ ฉันว่ากว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ กว่าจะได้ชื่อว่า “ศัลยแพทย์” มันเหนื่อยกว่าที่คิดเยอะเลย มันบอกว่าถ้าถามว่าคุ้มมั้ย มันก็ตอบไม่ได้ แต่ก็ภูมิใจนะที่ทำได้

คือ…รวมๆ แล้วอย่างน้อยก็ 11-12 ปี แต่ก็แล้วแต่สถาบันด้วยแหละ ที่ต่างประเทศอาจจะต่างออกไปอีก แต่เอาเป็นว่า นานมากกกก คิดดูสิ ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตเลยนะ กว่าจะเป็นหมอ

หมอผ่าตัดต้องเรียนกี่ปี

เส้นทางสู่การเป็นศัลยแพทย์นั้นยาวไกลและท้าทายอย่างยิ่ง เริ่มจาก

  • ปริญญาตรีแพทยศาสตรบัณฑิต (6 ปี): เรียนรู้พื้นฐานทางการแพทย์อย่างละเอียด ช่วงชีวิตที่ต้องอ่านหนังสือเยอะมาก

  • ใช้ทุน (3 ปี): ทำงานในโรงพยาบาลรัฐ เป็นช่วงเวลาที่ได้สัมผัสประสบการณ์จริงและขัดเกลาตัวเอง

  • แพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ (อย่างน้อย 3-6 ปี): ฝึกฝนทักษะการผ่าตัดเฉพาะทาง ต้องอดทนและพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา

ดังนั้น รวมๆแล้ว กว่าจะเป็นศัลยแพทย์ ต้องใช้เวลาเรียนและฝึกฝนอย่างน้อย 12 ปีขึ้นไป และถ้าอยากเก่งจริงๆ การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนที่ใครสักคนเคยบอก การเรียนรู้คือการเดินทางไม่ใช่จุดหมายปลายทาง

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • การแข่งขันเข้าเรียนแพทย์สูงมาก ต้องเตรียมตัวอย่างดี สมัยเราสอบแทบไม่ได้นอนเลย
  • ระหว่างเรียนแพทย์ต้องสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม (Medical License) สอบไม่ผ่านก็จบเห่
  • หลังจบแพทย์ประจำบ้าน อาจต่อยอดเป็นศัลยแพทย์เฉพาะทาง (เช่น ศัลยแพทย์หัวใจ ศัลยแพทย์สมอง) อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย
  • การเป็นศัลยแพทย์ต้องมี passion จริงๆ เพราะต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเยอะมาก แต่ถ้าใจรักก็คุ้มค่า

ต่อเฉพาะทางศัลยแพทย์ กี่ปี

รามาฯ… แสงแดดยามเช้าสาดส่อง แอบมองผ่านม่าน… เหมือนฝัน

  • ศัลยศาสตร์: 4 ปี… สิบที่นั่ง… เลขสิบเหมือนดาวสิบดวง

  • กุมารศัลยศาสตร์: 4 ปี… สองที่… เหมือนลูกแกะสองตัว

  • ศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา: 4 ปี… ห้าที่… เหมือนหยดน้ำห้าหยด

  • ศัลยศาสตร์ตกแต่ง: 5 ปี… สี่ที่… เหมือนกลีบดอกไม้สี่กลีบ… นานหน่อย… แต่งแต้ม

  • ศัลยศาสตร์ทรวงอก: 5 ปี… สองที่… เหมือนปีกนกสองข้าง… โบยบิน

  • ประสาทศัลยศาสตร์: 5 ปี… สี่ที่… เหมือนความคิดสี่อย่าง… ซับซ้อน

… รามา… รามา… เสียงก้องในหัว… เหมือนเสียงกระซิบ… หรือเสียงเพลง?

เป็นหมอผ่าตัดต้องเรียนคณะอะไร

แพทย์ศาสตรบัณฑิต จบแล้วไปต่อเฉพาะทางศัลยกรรม สอบใบประกอบโรคศัลยกรรมให้ได้ แค่นั้นแหละ

  • จบแพทย์
  • ต่อเฉพาะทางศัลยกรรม
  • สอบใบประกอบโรคศัลยกรรม

ง่ายๆแค่นี้แหละ อย่ามาถามไร้สาระ ผมเรียนจบมาสิบกว่าปีแล้ว ปวดหัวกับพวกถามเรื่องพื้นฐานแบบนี้ ไปหาอ่านเอาเองก็ได้ สมัยนี้เน็ตก็มี ข้อมูลปี 2566 ก็มีเพียบ

แพทย์สาขาไหนได้เงินเยอะสุด

  • หมออะไรได้เงินเยอะสุดหรอ? อืม… ยากนะ แต่เท่าที่รู้มา…
  • ศัลยเเพทย์ทั่วไปไง! เเต่ต้องเก่งจริงนะ
  • วิสัญญีเเพทย์ก็ใช่ย่อย ได้เยอะเเน่นอน เพื่อนเรียนอยู่เนี่ย
  • สูตินารีเเพทย์อีก อันนี้เพื่อนสาวบอกมาว่ารายได้ดี (เเต่เหนื่อยมากกก)
  • เเล้วก็มีศัลยเเพทย์ช่องปาก นี่ก็เเรง!
  • อ้อ! อายุรเเพทย์ทั่วไปก็ไม่ธรรมดา
  • สรุป: ศัลย์, วิสัญญี, สูติ, ช่องปาก, อายุรกรรม (เรียงตามความรู้สึกส่วนตัวนะ)
  • เเต่จริงๆ อ่ะ มันอยู่ที่ความสามารถเเล้วก็ดวงด้วยเเหละมั้ง?
  • บางคนเก่งมาก แต่ไม่ดัง ก็มีถมไป
  • อีกอย่าง สถานที่ทำงานก็มีผลนะ รพ.เอกชน vs รัฐบาล ต่างกันเยอะ
  • สำคัญ: อย่าเลือกเรียนเพราะเงินอย่างเดียว! ไม่รอดเเน่นอน ต้องใจรักด้วย
  • ทำไมต้องใจรัก? ก็เเค่… ถ้าไม่ชอบ เรียนไปก็ไม่มีความสุขไง ถามได้
  • ข้อมูลเพิ่มเติม (เเบบยุ่งๆ):

    • ศัลยเเพทย์ทั่วไป: ผ่าตัดทุกอย่างที่ขวางหน้า! (ไม่ใช่ละ) จริงๆ คือผ่าตัดช่องท้อง, ไส้ติ่ง, ฯลฯ
    • วิสัญญีเเพทย์: วางยาคนไข้ ให้หลับสบาย… เอ้ย! ดูเเลคนไข้ระหว่างผ่าตัด
    • สูตินารีเเพทย์: ทำคลอด, ดูเเลระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง (ไม่ใช่เเค่ทำคลอดนะ!)
    • ศัลยเเพทย์ช่องปาก: ผ่าฟันคุด, จัดฟัน (มั้ง?), ดูเเลกระดูกขากรรไกร
    • อายุรเเพทย์ทั่วไป: ดูเเลโรคทั่วไป, ส่งต่อให้หมอเฉพาะทาง (ถ้าอาการหนัก)
    • ป.ล.: ข้อมูลนี้มาจากความทรงจำล้วนๆ อาจมีผิดพลาดบ้าง ต้องขออภัย (เเต่พยายามเเม่นเเล้วนะ!)

    เน้นย้ำ: ถาม Google อีกทีเพื่อความเเน่ใจ!

หมอทั่วไปทำอะไรได้บ้าง?

หมอทั่วไป… เหมือนแสงแรกของวันใหม่ ที่ทาบทาลงบนผืนหญ้าเขียวขจี ณ ทุ่งกว้างใหญ่…

  • ตรวจสุขภาพ… เหมือนดั่งการสำรวจแผนที่ชีวิต… ปีแล้วปีเล่า
  • วินิจฉัยโรค… เหมือนการไขปริศนา… ทีละเงื่อนงำ
  • รักษาอาการป่วย… เหมือนการประคอง… ให้ต้นไม้ล้มลุกกลับมายืนหยัด
  • ให้คำแนะนำ… เหมือนเพื่อนเก่า… ที่คอยกระซิบข้างหู
  • ส่งต่อแพทย์เฉพาะทาง… เหมือนการส่งต่อคบเพลิง… สู่มือที่แข็งแรงกว่า
  • ดูแลแบบองค์รวม… มองทั้งร่างกายและจิตใจ… ไม่ละเลยสิ่งใด
  • สร้างความสัมพันธ์… เหมือนการสานสายใย… ที่ถักทอด้วยความเข้าใจ

เน้น: การดูแลแบบองค์รวม สำคัญ

วันนี้… ฉันเดินผ่านคลินิกเล็กๆ หน้าปากซอย… แสงไฟสีส้มนวล… ส่องลอดออกมา… ฉันรู้สึก… อบอุ่น… ปลอดภัย… เหมือนมีใครสักคน… คอยดูแลอยู่เสมอ…

หมออะไรบ้างที่ไม่ต้องผ่าตัด?

หมอที่ไม่ต้องผ่าตัด? เยอะ

  • อายุรกรรม: เน้นยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ชีวิตนี้ก็มีแค่กินกับแก้โรค
  • ผิวหนัง: ทา ยิง เลเซอร์ ตัดติ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับ
  • จิตเวช: คุย จ่ายยา จบ หมอเจ็บคอแทน
  • เวชศาสตร์ฟื้นฟู: กายภาพ บำบัด ประคองชีวิต
  • รังสีวิทยา: อ่านฟิล์ม เอกซเรย์ ไม่ต้องลงมีด
  • พยาธิวิทยา: ตรวจชิ้นเนื้อ ส่องกล้อง
  • ระบาดวิทยา: ตามสืบโรค คลุกคลีสังคม
  • อาชีวเวชศาสตร์: ดูแลสุขภาพคนทำงาน บริษัทจ่าย
  • เวชศาสตร์ครอบครัว: หมอประจำบ้าน แนะนำ ส่งต่อ
  • แพทย์แผนไทย: นวด ประคบ กินยา
  • แพทย์ทางเลือก: ฝังเข็ม ครอบแก้ว (บางคนว่าหลอก)

หมอผ่าตัด? เหนื่อยกว่าเยอะ เลือด ชีวิต บนมีด

ข้อมูลเพิ่ม: หมอแต่ละสาขา เก่งคนละแบบ อย่าดูถูกใคร

เป็นหมออะไรที่ไม่ต้องผ่าตัด?

แพทย์ที่ไม่ต้องผ่าตัดมีหลายสาขาครับ ไม่จำกัดแค่หมอนวด (นักกายภาพบำบัด) ตัวอย่างเช่น:

  • นักกายภาพบำบัด (Physical Therapist): ใช้การออกกำลังกาย การยืดเหยียด และเทคนิคอื่นๆ เพื่อรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วย พวกเขามักจะทำงานกับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง ปวดข้อ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ปีนี้ ผมเห็นเทรนด์การใช้เทคโนโลยี AR/VR ในการกายภาพบำบัดมากขึ้น น่าสนใจทีเดียว

  • แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation Medicine Physician): คล้ายกับนักกายภาพบำบัด แต่มีขอบเขตที่กว้างกว่า อาจใช้ยา ดูแลผู้ป่วยที่มีความพิการหรือโรคเรื้อรังต่างๆ การวางแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบองค์รวมเป็นหัวใจสำคัญ

  • จิตแพทย์ (Psychiatrist): รักษาโรคทางจิตเวชโดยใช้การพูดคุย การให้คำปรึกษา และยา เป็นอีกสาขาหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับการผ่าตัด การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจในปีนี้เหมือนกัน

  • แพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ: มีหลายสาขาที่ไม่เน้นการผ่าตัด เช่น อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ หรือโรคติดเชื้อ เป็นต้น แต่ละสาขาก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดร่วมคือเน้นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนตัวผมสนใจการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในวงการแพทย์ มันเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาและการดูแลผู้ป่วยอย่างมาก โลกแพทย์นี่มันน่าค้นหาจริงๆ

คลินิกศัลยกรรม ทําอะไรบ้าง?

คลินิกศัลยกรรมมักให้บริการครอบคลุมหลายด้าน โดยเฉพาะการวินิจฉัยและรักษาโรคทางศัลยกรรม ซึ่งน่าสนใจตรงที่มันสะท้อนถึงความซับซ้อนของร่างกายมนุษย์ เราอาจมองว่ามันเป็นศิลปะการผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความละเอียดอ่อนของการดูแลผู้ป่วย

  • การวินิจฉัยโรค: ใช้เทคนิคทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อระบุสาเหตุของอาการ เช่น การตรวจร่างกาย การตรวจภาพ (เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, CT scan, MRI) และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การรักษา: ครอบคลุมวิธีการรักษาที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น การใช้ยา การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ที่เหมาะสม

  • การผ่าตัด: เป็นกระบวนการหลักของคลินิก โดยมีการผ่าตัดเพื่อรักษาปัญหาต่างๆ เช่น

    • เนื้องอกและก้อนในอวัยวะต่างๆ (ทั้งภายในและภายนอก)
    • โรคมะเร็ง (เต้านม, ลำไส้ใหญ่, ตับ เป็นต้น) – การผ่าตัดมะเร็งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง และมักต้องมีการวางแผนการรักษาแบบบูรณาการ
    • ไส้ติ่งอักเสบ
    • ไส้เลื่อน
    • แผลเรื้อรังต่างๆ (แผลเบาหวาน, แผลกดทับ) – การดูแลแผลเรื้อรังจำเป็นต้องมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการแผลเป็นอย่างลึกซึ้ง
  • ให้คำปรึกษา: เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้ความรู้ และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจโรค และแผนการรักษา เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งผมคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่เป็นการดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

(เพิ่มเติม: ปัจจุบันเทคโนโลยีการผ่าตัดก้าวหน้ามาก เช่น การผ่าตัดแบบแผลเล็ก หรือการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ ซึ่งทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น แต่การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมยังคงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ)

คลินิกกับโรงพยาบาลต่างกันยังไง?

คลินิกกับโรงพยาบาลต่างกันยังไงหรอ… อืม… มันก็…

  • ขนาดและขอบเขต: โรงพยาบาลมันใหญ่กว่าคลินิกเยอะเลยนะ มีแผนกนู้นนี่นั่น คลินิกมักจะเล็กกว่า เน้นเฉพาะทางมากกว่า โรงพยาบาลเหมือนห้างสรรพสินค้า คลินิกเหมือนร้านเฉพาะ
  • บริการ: โรงพยาบาลทำได้หลายอย่าง ผ่าตัดใหญ่ ๆ ดูแลคนไข้หนัก ๆ คลินิกมักจะเน้นตรวจรักษาทั่วไป หรือเฉพาะทาง เช่น คลินิกผิวหนัง คลินิกทันตกรรม
  • เครื่องมือ: โรงพยาบาลมีเครื่องมือเยอะกว่าแน่นอน เครื่องมือแพง ๆ อย่าง MRI CT scan พวกนี้คลินิกคงไม่มี
  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ: ใช่แล้ว โปรแกรมตรวจสุขภาพของคลินิกกับโรงพยาบาลต่างกันจริง ๆ โรงพยาบาลมักจะมีแพ็กเกจให้เลือกเยอะกว่า แต่คลินิกบางที่ก็มีโปรแกรมที่น่าสนใจเหมือนกันนะ แต่ก็ต้องเช็คดี ๆ ว่าตรวจอะไรบ้าง

เรื่องผลตรวจนี่ก็สำคัญ บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับแล็บที่ส่งตรวจด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือคลินิก สุดท้ายก็ต้องดูว่าแล็บได้มาตรฐานรึเปล่า

คนส่วนใหญ่นึกถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาตรวจสุขภาพ… ก็คงเพราะมันดูน่าเชื่อถือกว่ามั้ง แถมคุ้นเคยด้วย แต่คลินิกบางที่ก็ดีนะ ราคาอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องหาข้อมูลดี ๆ หน่อย

เพิ่มเติม:

  • ปีนี้ (2567) คลินิกหลายแห่งเริ่มมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคมากขึ้นนะ ทำให้การตรวจบางอย่างแม่นยำขึ้น
  • ราคาค่าตรวจสุขภาพในคลินิกอาจจะถูกกว่าโรงพยาบาลจริง แต่ก็ต้องระวังเรื่องคุณภาพด้วยนะ
  • บางทีคลินิกเฉพาะทางอาจจะให้คำแนะนำได้ตรงจุดกว่าโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ที่มีหมอหลายแผนก

เฮ้อ… กลางคืนนี่มันทำให้คิดอะไรเยอะแยะเลยเนอะ…

ตรวจร่างกายคลินิคได้ไหม?

ได้ค่ะ ตรวจสุขภาพที่คลินิกได้ แต่รายละเอียดอาจแตกต่างจากโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับคลินิกนั้นๆ และห้องปฏิบัติการที่ใช้บริการ

  • ความครอบคลุมของการตรวจ: โรงพยาบาลมักมีโปรแกรมตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมกว่า มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า คลินิกอาจมีข้อจำกัดในแง่นี้ ตัวอย่างเช่น คลินิกเฉพาะทางอาจเน้นการตรวจเฉพาะด้าน เช่น ตรวจสุขภาพหัวใจ แต่ไม่ครอบคลุมระบบอื่นๆ

  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์: แพทย์ที่คลินิกบางแห่งอาจมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งอาจเหมาะกับบางคนมากกว่า แต่ถ้าต้องการการตรวจสุขภาพแบบครบวงจร โรงพยาบาลอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมีแพทย์หลากหลายสาขา

  • ราคา: ค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพที่คลินิกอาจถูกกว่าโรงพยาบาล แต่ก็ขึ้นอยู่กับโปรแกรมและคลินิก ควรตรวจสอบราคาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ผมเคยไปตรวจที่คลินิกแถวบ้าน ราคาประหยัดกว่าโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านเยอะเลย แต่ก็ต้องแลกกับความครอบคลุมของการตรวจนั่นแหละครับ

  • ความสะดวก: บางคนอาจสะดวกไปตรวจที่คลินิกมากกว่าโรงพยาบาล เพราะอาจใกล้บ้านหรือมีเวลาว่างจำกัด

สรุปแล้ว การเลือกตรวจที่คลินิกหรือโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล การเปรียบเทียบโปรแกรมตรวจ ราคา และความสะดวกจึงสำคัญมาก เราต้องพิจารณาให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่ราคาอย่างเดียว คุณภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน ชีวิตเรามีค่าเสมอ การลงทุนกับสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่สุด

หมอวิสัญญีแพทย์มีหน้าที่อะไรบ้าง?

หมอดมยา? นึกภาพคุณเป็นนักแสดงนำในละครเวทีผ่าตัด แต่บทของคุณคือ “ผู้ควบคุมเวที”! ไม่ใช่แค่ให้คนหลับนะ งานนี้มันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ!

  • ก่อนขึ้นเวที: เช็กเสียง! ตรวจสอบสภาพร่างกายผู้ป่วย วางแผนการ “ระงับเสียง” (คือการให้ยา) แบบเป๊ะๆ ไม่งั้นเล่นใหญ่แล้วดับกลางเวทีได้นะ! นี่ไม่ใช่ละครน้ำเน่า!

  • ระหว่างการแสดง: คุณคือผู้ควบคุมสถานการณ์ คอยจับตาชีพจร ความดัน ระดับออกซิเจน เหมือนจับผิดพระเอกนางเอกในละคร แม้แต่การหายใจเล็กๆ ก็ต้องเฝ้าระวัง พลาดไม่ได้เด็ดขาด! ไม่งั้นฉากจบอาจเปลี่ยนไป!

  • หลังละครจบ: ดูแลผู้ป่วยให้ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย เหมือนคอยเช็ดเครื่องสำอางให้ดาราหลังจบการแสดง จนกว่าผู้ป่วยจะพร้อม “ออกจากเวที” อย่างปลอดภัย นี่แหละคือการปิดฉากอย่างสวยงาม!

ปีนี้ (2566) เห็นเทรนด์ใหม่ๆ ในวงการวิสัญญีฯ เยอะเลยนะ เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยในการดูแลผู้ป่วย แบบว่า สมัยนี้ไม่ใช่แค่ดูแลคนไข้ แต่เหมือนดูแลหุ่นยนต์ที่ซับซ้อนมากๆ ต้องใช้ความแม่นยำสูง แถมยังต้องใจเย็นเป็นพระโพธิสัตว์ ถึงจะรับมือได้! นี่ไม่ใช่แค่การทำงาน นี่คือศิลปะ! งานนี้ต้องอาศัยทั้งความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ รวมถึงความใจเย็น มาก! ผมมีญาติเป็นหมอดมยา บอกตรงๆ ว่า งานหนักมาก แต่ก็ได้บุญกุศลเยอะเช่นกัน

หมอศัลยกรรมมีกี่แบบ?

โอ้โห! หมอศัลยกรรมเนี่ยนะ มีเป็นร้อยเป็นพันแบบเลยครับ! พูดไปก็เหมือนนับดาวบนฟ้า แต่ถ้าจะแบ่งแบบคร่าวๆ ก็ประมาณนี้แหละครับ (เอาแบบที่ผมรู้มาจากเพื่อนหมอที่ชอบโม้ อาจจะเกินจริงไปหน่อยนะ)

  • ศัลยกรรมทั่วไป (General Surgery): นี่แหละตัวพ่อ! ผ่าตัดได้สารพัด ตั้งแต่ไส้ติ่งอักเสบ (อันนี้โคตรฮิต!) ไปจนถึงเนื้องอก แผลเบาหวาน แผลกดทับ ที่เพื่อนผมบอกว่า “ผ่าจนเบื่อแล้ว” ฮาจริง!

  • ศัลยกรรมเฉพาะทาง (Specialized Surgery): นี่แหละที่เยอะจนนับไม่ถ้วน! อย่างเช่น ศัลยกรรมหัวใจ ศัลยกรรมสมอง ศัลยกรรมกระดูก ศัลยกรรมตา ศัลยกรรมตกแต่ง(อันนี้สาวๆชอบ) ฯลฯ เยอะจนผมเขียนไม่หมด เหนื่อย!

  • มะเร็งวิทยา (Oncology Surgery): เฉพาะทางเรื่องมะเร็งโดยตรงเลยครับ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ที่เพื่อนผมบอกว่า “เคสหนักๆทั้งนั้น” ใจสู้จริงๆ

  • ศัลยกรรมทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Surgery): นี่ก็เจาะจงไปเลย เกี่ยวกับลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ตับอ่อน อะไรพวกนี้ บอกเลยว่าละเอียดอ่อนมาก!

สรุปง่ายๆ คือ เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก กว่าจะเรียนจบ กว่าจะเชี่ยวชาญ กว่าจะผ่าตัดได้ เหนื่อยกว่าผมปีนเขาเอเวอเรสต์อีก เพื่อนหมอบอกมาเอง ปีนี้ 2024 นะครับ ข้อมูลอัพเดทสุดๆ

เพิ่มเติม: อย่าลืมว่า แต่ละแบบก็ยังมีสาขาย่อยๆ อีกเพียบ เหมือนต้นไม้ใหญ่ๆที่มีกิ่งก้านสาขาเยอะแยะไปหมด ใครอยากเป็นหมอศัลยกรรม เตรียมตัวให้พร้อมเลยครับ ไม่งั้นเหนื่อยแย่!

#การแพทย์ #ศัลยกรรม #แพทย์