เข้ามหาลัยอเมริกาใช้คะแนนอะไรบ้าง

19 การดู

เข้ามหา'ลัยอเมริกา ต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง? หลักๆ คือ คะแนนสอบภาษาอังกฤษ (TOEFL/IELTS), คะแนนสอบมาตรฐาน (SAT/ACT/GMAT/GRE ขึ้นอยู่กับสาขา) และผลการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ดีเยี่ยม

เอกสารสำคัญในการสมัคร:

  • ใบสมัครออนไลน์
  • ค่าธรรมเนียมสมัคร
  • คะแนนสอบภาษาอังกฤษ (TOEFL/IELTS) ตามเกณฑ์มหาวิทยาลัย
  • คะแนนสอบมาตรฐาน (SAT/ACT/GMAT/GRE) ตามเกณฑ์มหาวิทยาลัย
  • ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
  • เอกสารรับรองจากโรงเรียน/ที่ทำงาน (หากมีประสบการณ์ทำงาน)
  • หนังสือแนะนำ (Recommendation Letter) - บางมหาวิทยาลัยอาจกำหนด

เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและตรงตามข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการพิจารณา

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ต้องการคะแนนอะไรบ้างในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา?

เอ่อ… เรื่องคะแนนเข้ามหาลัยที่อเมริกาเนี่ยนะ บอกตรงๆ ว่ามัน “แล้วแต่” เลยอ่ะ! แต่ละมหาลัยนี่เกณฑ์ไม่เหมือนกันสักที่เดียว เหมือนเล่นเกมที่ไม่มีสูตรตายตัว ต้องวัดดวงด้วย (ฮา).

จำได้เลยตอนสมัครเรียนที่นู่น (นานมาแล้ว, ประมาณปี 2010 ได้มั้ง) เครียดจัด เพราะต้องสอบ TOEFL ให้ได้ตามที่เค้ากำหนด แล้วก็ต้องไปสอบ SAT อีก! ไอ้ SAT นี่ตัวดีเลย ยากอะไรเบอร์นั้นก็ไม่รู้ คือถ้าอยากเข้ามหาลัยดังๆ คะแนนก็ต้องปังๆ หน่อยอ่ะ

เอกสารที่ต้องเตรียมก็เยอะแยะไปหมด ใบสมัคร (อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว), ใบรับรองผลการเรียน (Transcript), คะแนนสอบภาษาอังกฤษ, คะแนนสอบมาตรฐาน (SAT/ACT), จดหมายแนะนำ (Recommendation Letters) โอ๊ย เยอะจริง! แล้วก็อย่าลืมค่าสมัครนะ จ่ายกันจนกระเป๋าฉีกไปเลย T_T

ส่วนเรื่องเกณฑ์คะแนน TOEFL/IELTS หรือ SAT/GMAT/GRE เนี่ย ต้องไปดูของแต่ละมหาลัยโดยเฉพาะเลยนะ เค้าจะมีบอกไว้ในเว็บไซด์ของเค้าเอง (อันนี้สำคัญมาก อย่าขี้เกียจอ่าน!) บางที่เค้าอาจจะมีขั้นต่ำที่กำหนดไว้ แต่บางที่ก็อาจจะดูภาพรวมของโปรไฟล์เราทั้งหมด

แล้วถ้าใครทำงานแล้วอยากเรียนต่อ เค้าก็อาจจะต้องมีเอกสารรับรองจากที่ทำงานเพิ่มเข้าไปด้วยนะ (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ 555).

สรุปคือ ทำการบ้านเยอะๆ หาข้อมูลให้ละเอียด แล้วก็เตรียมตัวสอบให้ดีๆ สู้ๆ นะทุกคน!

ปริญญาตรี ที่เมกาเรียนกี่ปี

เรียนปริญญาตรีที่อเมริกาเนี่ยนะ 4 ปีจ้าาาา คิดว่าแค่จิ้มๆๆๆ แล้วจบเลยเหรอ? (ล้อเล่นนะ) มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

  • ปี 1-2 : ศึกษาทั่วไปแบบจัดเต็ม! เหมือนกินบุฟเฟต์ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฯลฯ ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง เปรียบเหมือนสร้างรากฐานบ้านให้มั่นคงก่อนจะสร้างบ้านหลังใหญ่ ถ้ารากฐานไม่ดี บ้านก็พังง่ายใช่ไหมล่ะ?
  • ปี 3-4 : เจาะลึกเฉพาะทาง! ถึงตอนนี้แหละ ถึงเวลาโชว์ของ เรียนวิชาเฉพาะทางในสาขาที่เลือก เนื้อหาจะเข้มข้นขึ้น เหมือนจากเด็กฝึกงานกลายเป็นมืออาชีพ ต้องขยันหน่อยนะ เพราะยิ่งเรียนลึกยิ่งสนุก (แต่ก็เหนื่อยนะ)

แต่บอกเลยว่า การเรียนที่อเมริกาไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียวนะ สังคม เพื่อน และประสบการณ์ ก็สำคัญไม่แพ้กัน ผมเองตอนเรียนที่ UCLA ก็ได้เรียนรู้เยอะแยะไปหมด (ปี 2023 นะ ข้อมูลอัพเดทสุดๆ!) ไม่ใช่แค่ความรู้ในตำรา แต่ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต การทำงานเป็นทีม และการอยู่ร่วมกับผู้คนที่มีความหลากหลาย นี่แหละคือประสบการณ์ที่มีค่า ยิ่งกว่าเกรดเฉลี่ยอีก!

เรียนต่ออเมริกา ที่ไหน ดี

เอาจริงนะ เรื่องเรียนต่ออเมริกาเนี่ย ถามว่าเมืองไหนดี มันแล้วแต่คนจริงๆ อ่ะ

เมื่อก่อนตอนเราอยากไป (เมื่อ 5 ปีก่อนนะ ไม่ใช่ปีนี้) เราเล็งบอสตันไว้ก่อนเลย คือแบบติดภาพเมืองการศึกษาอ่ะ มหาลัยดังๆ เพียบ แต่พอไปจริงๆ (ไปเที่ยวเฉยๆ นะ ไม่ได้เรียน) รู้สึกว่ามันเงียบๆ ไปหน่อย สำหรับเราอ่ะนะ คนอื่นอาจจะชอบ

ส่วนนิวยอร์ก ตอนแรกก็ตัดทิ้งเลย คิดว่ามันวุ่นวายแน่ๆ เรียนไม่รู้เรื่อง แต่เพื่อนเราไปเรียน NYU บอกว่าชอบมาก คือมันมีอะไรให้ทำตลอดเวลา ไม่เบื่อ แต่ก็ต้องสตรองจริง เพราะค่าครองชีพโหดสุดๆ

ซานฟรานซิสโก เราว่าน่าจะเหมาะกับสายไอทีนะ แบบอยากใกล้ Silicon Valley อะไรแบบนั้น แต่เราไม่ค่อยอินเท่าไหร่

ชิคาโก นี่ก็เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจนะ เราว่ามันมีความเป็นเมืองใหญ่ แต่ก็ไม่ได้วุ่นวายเท่านิวยอร์ก ค่าครองชีพน่าจะถูกกว่าด้วยนะ (มั้ง)

วอชิงตัน ดี.ซี. เราว่ามันดูข้าราชการไปหน่อยอ่ะ ไม่ค่อยใช่สไตล์เราเท่าไหร่ แต่ถ้าใครอยากเรียนพวกการเมือง การปกครอง น่าจะตอบโจทย์

ส่วนฟิลาเดลเฟีย เราไม่ค่อยมีความรู้เลยอ่ะ เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม

สรุปคือ ไม่มีเมืองไหนดีที่สุดหรอก มันอยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหนมากกว่า

ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบเน้นๆ):

  • บอสตัน: มหาลัยดัง Ivy League เพียบ (Harvard, MIT), เน้นสายวิชาการ, เมืองเก่าแก่
  • นิวยอร์ก: ชีวิตมีสีสัน, ค่าครองชีพสูง, เหมาะกับคนชอบความท้าทาย
  • ซานฟรานซิสโก: สายไอทีต้องมา, ใกล้ Silicon Valley, อากาศดี (แต่หมอกเยอะ)
  • ชิคาโก: เมืองใหญ่, ค่าครองชีพไม่สูงมาก, สถาปัตยกรรมสวย
  • วอชิงตัน ดี.ซี.: เมืองหลวง, เหมาะกับสายการเมือง, บรรยากาศข้าราชการ
  • ฟิลาเดลเฟีย: เมืองประวัติศาสตร์, ไม่ค่อยมีข้อมูล (ต้องไปหาเพิ่มเองนะ!)

เรียน ป ตรี ที่ อังกฤษ กี่ปี

เรียนปริญญาตรีที่อังกฤษ 3 ปีจ้าาาาาา แต่ถ้าอยากเก๋ๆ อยากเพิ่มประสบการณ์ชีวิตก่อนจะออกไปโลดแล่นในโลกการทำงาน ก็เลือกเรียนแบบ Sandwich Programme 4 ปีสิคะ ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งประสบการณ์ จบมาแล้วหางานง่ายชัวร์ ไม่ต้องกลัวตกงาน เพราะมีประสบการณ์ตรงจากการฝึกงานมาเป็นเครื่องการันตี เปรียบเหมือนได้ทั้งไม้เท้า และดาบ พร้อมลุยงานได้เลย!

  • 3 ปี: เรียนแบบเร่งรัด จบไว ได้เที่ยวไว แต่ประสบการณ์การทำงานอาจจะน้อยไปหน่อย เหมือนรถสปอร์ต เร็วแรง แต่พกของได้น้อย
  • 4 ปี (Sandwich Programme): เรียนแบบเนิบๆ ชิลๆ ได้ทั้งความรู้และประสบการณ์ เหมือนรถกระบะ บรรทุกได้เยอะ แต่ความเร็วอาจจะไม่เท่ารถสปอร์ต แต่เอาอยู่ทุกสถานการณ์!

ปล. ปีนี้พี่ไปเจอเพื่อนสมัยเรียนที่อังกฤษ เค้าเรียนจบ 3 ปี ตอนนี้เป็นหัวหน้าทีมแล้วนะ บอกเลยว่า ประสบความสำเร็จสุดๆ แต่ถ้าถามว่าอยากเรียนแบบไหน พี่ว่าแล้วแต่ชอบเลยค่ะ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด สำคัญคือเลือกให้เหมาะกับตัวเอง และมุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จ แค่นั้นพอ!

อะไรห้ามนำเข้าอเมริกา

โอ๊ย! อะไรห้ามขนเข้าอเมริกาเนี่ย… เยอะแยะไปหมด!

  • เครื่องประดับแพงๆ: เอาไปก็…เออ, กลัวหาย!
  • หม้อหุงข้าว: ที่บ้านมีแล้ว! แต่แบบ, ที่นู่นมันแพงหรอ?
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า: ไฟ 110V / 220V นี่เรื่องใหญ่เลยนะ! ระเบิดตูมตามมั้ย? (ไม่น่า…)
  • ระเบิด/ปืน/มีด: อันนี้รู้ๆ กันอยู่แล้วมั้ง!
  • ยาเสพติด: ใครมันจะบ้าหอบไป…
  • หมูแผ่น/หมูหยอง: อดกินเลย… แต่จริงๆ เอาไปก็แอบเสี่ยงโดนจับปรับ (มั้ง?)
  • ผลไม้สด: เน่าก่อนถึงแน่ๆ
  • สัตว์เลี้ยง: เรื่องใหญ่! ต้องมีเอกสารอะไรเยอะแยะ…
  • ยา (ไม่มีใบสั่ง): อันนี้สำคัญนะ! ป่วยขึ้นมาทำไงเนี่ย? ต้องไปหาหมอที่นู่นเลยหรอ? แพงไหม?

ปล. ปีนี้ (2024) กฎหมายนำเข้าอาจจะเปลี่ยนไปอีกมั้ง! ต้องเช็คดีๆ ก่อนไปนะ!

#Gpa #Toefl #คะแนนสอบ