เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง
เรียนต่อต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารสำคัญดังนี้:
- ผลการเรียน: ใบแสดงผลการเรียน (Transcript) ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งจำเป็นทุกหลักสูตร
- ภาษาอังกฤษ: คะแนน TOEFL/IELTS ตามที่แต่ละมหาวิทยาลัยและหลักสูตรกำหนด
- สอบเข้า (บางหลักสูตร): GMAT สำหรับ MBA และ GRE สำหรับปริญญาโทสาขาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่เลือก
- ประวัติส่วนตัว: CV แสดงประสบการณ์และความสามารถ
หลักสูตรปริญญาตรีและโท ต่างมีข้อกำหนดเฉพาะ ควรตรวจสอบรายละเอียดจากมหาวิทยาลัยเป้าหมาย เพื่อความถูกต้องและครบถ้วนก่อนยื่นสมัคร
เรียนต่อต่างประเทศ ต้องเตรียมคะแนนอะไรบ้าง?
เรื่องเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศนี่ ตอนนั้นฉันเครียดมากเลยนะ จำได้แม่นเลย ปี 2562 ก่อนจะไปอังกฤษ เอกสารเพียบ! ใบแสดงผลการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องจ่ายไปเกือบสองพันเพื่อให้มหาลัยแปลให้ เสร็จแล้วก็ส่งไปทางไปรษณีย์ ลุ้นระทึกเลย!
ส่วนคะแนนสอบนี่ ต้องสอบ IELTS จำได้ว่าตั้งใจเรียนหนักมาก ติวแบบตัวต่อตัวด้วย เดือนละเกือบหมื่น โคตรแพง! แต่ก็ได้คะแนนตามที่มหาลัยกำหนด คือ 6.5 โล่งอกไปเลย สอบตกคงเครียดกว่านี้เยอะ.
แล้วก็ต้องมี CV อันนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แค่เขียนประสบการณ์ กิจกรรมต่างๆ ที่ทำมา แต่ก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกันนะ นั่งแต่งอยู่หลายวัน ต้องให้เพื่อนช่วยตรวจด้วย เพราะภาษาอังกฤษเราไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่.
ส่วน GMAT/GRE อันนี้แล้วแต่คณะนะ ฉันเรียนโทด้านศิลปศาสตร์ เลยไม่ต้องใช้ แต่เพื่อนที่เรียนวิศวะต้องสอบ มันบอกว่ายากมาก เตรียมตัวนานเป็นปีเลย สุดท้ายก็ได้คะแนนดี แต่เหนื่อยมากจริงๆ. สรุปแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมๆกันหลายๆอย่างเลย เหนื่อยแต่คุ้มค่า อิอิ
เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้คะแนนอะไร
เรียนต่อต่างประเทศเนี่ย IELTS สำคัญจริง เพราะเป็นใบเบิกทางด้านภาษาอังกฤษที่เราต้องโชว์ให้มหาวิทยาลัยต่างชาติเห็นว่าเรา “เอาอยู่” นะ
- IELTS Academic: ตัวนี้แหละมาตรฐาน สำหรับยื่นมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่
- คะแนนขั้นต่ำ: แล้วแต่สาขาและมหาวิทยาลัย บางที่ 6.0 ก็พอ บางที่ต้อง 7.0 อัพ! เช็คให้ดีนะ
แต่เอ๊ะ! บางคนอาจจะสงสัย ทำไมต้อง IELTS? ทำไมไม่ TOEFL หรือ Duolingo?
คือ…แต่ละมหาวิทยาลัยเขาก็มีเกณฑ์ของเขา บางที่รับแค่ IELTS บางที่รับหลายแบบ แต่ที่แน่ๆ IELTS นี่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเครือจักรภพและยุโรป
เกร็ดเล็กน้อย: การเตรียมตัวสอบ IELTS ไม่ใช่แค่ท่องศัพท์นะ ต้องฝึกสกิล listening, reading, writing, speaking ให้ครบ จะได้ไม่พลาดท่าในสนามสอบจริง
ความคิดเห็นส่วนตัว: การสอบ IELTS นอกจากจะช่วยให้เราได้เรียนต่อต่างประเทศแล้ว ยังเป็นโอกาสให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองไปอีกขั้นด้วยนะ คุ้มค่าที่จะลงทุน!
คนไทยได้ ielts เท่าไร
IELTS คนไทย? แถว 6.0 นั่นแหละ อย่าหวังสูง
อยากเรียนอินเตอร์? ดูเกณฑ์คณะที่เล็งไว้เอาเอง แค่นี้
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- คะแนนเฉลี่ย: 6.0 คือภาพรวม อาจไม่ใช่ของคุณ
- เกณฑ์คณะ: เช็คให้ชัวร์ บางที่โหดกว่าที่คิด
- อย่าประมาท: เตรียมตัวให้ดี ถึงจะรอด
- ปีล่าสุด: ข้อมูลอิงตามปี 2024
- วัดระดับ: ทำความเข้าใจ band score แต่ละส่วน
Ielts ต่ำสุดกี่คะแนน
IELTS ต่ำสุดกี่คะแนนเนี่ย? เอาจริงๆนะ มันไม่มีคำตอบตายตัว! เหมือนถามว่า “ความรักต่ำสุดกี่องศาเซลเซียส” มันขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยหรือองค์กรที่คุณจะสมัครนั่นแหละ บางที่อาจจะขอแค่ 5.5 แต่บางที่ขอ 7.0 ขึ้นไปถึง 8.0 หรือแม้แต่ 9.0 ก็มีให้เห็น
คะแนนเต็มคือ 9 ใช่แล้ว! หรือจะเรียกหรูๆ ว่า IELTS Band 9.0 ก็ได้ เหมือนได้รางวัลโนเบลของวงการภาษาอังกฤษเลยล่ะ แต่เอาจริงๆ แค่ได้ 7.0 ขึ้นไปก็ถือว่าเก่งแล้ว ระดับเทพเลยนะ!
เอาคะแนนไปใช้อะไรได้บ้างเหรอ?
- สมัครเรียนต่อต่างประเทศ: นี่แหละจุดหมายปลายทางหลัก จะเรียนที่ไหน มหาลัยไหน ก็ต้องดูเกณฑ์คะแนน IELTS กันเอาเอง
- ทำงานต่างประเทศ: บางบริษัท โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ ก็ต้องการคนที่มี IELTS คะแนนสูงๆ เพื่อการสื่อสารที่ราบรื่น
- ยื่นวีซ่า: บางประเทศใช้ IELTS เป็นเกณฑ์พิจารณาในการขอวีซ่า จะขอวีซ่านักเรียนหรือวีซ่าทำงาน ก็ต้องเช็กเงื่อนไขให้ดี
- เพิ่มโอกาสในการทำงาน: แม้จะไม่ได้ทำงานต่างประเทศ แต่คะแนน IELTS ก็ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคุณได้ เหมือนเป็นใบเบิกทางสู่โอกาสที่ดีๆ
ปีนี้ (2566) เพื่อนผมคนนึงได้ IELTS 7.5 ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียได้สบายๆ อีกคนได้ 6.0 ก็ต้องหาทางเลือกอื่น เพราะมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า ต้องการ 6.5 เห็นไหมล่ะ มันขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณจริงๆ
เพิ่มเติมเล็กน้อย: อย่าไปซีเรียสกับคะแนนมากเกินไป ภาษาอังกฤษไม่ได้วัดแค่คะแนนสอบ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ความเข้าใจ และความมั่นใจ สำคัญกว่าเยอะเลยนะ คิดซะว่า IELTS เป็นแค่ด่านหนึ่ง ที่คุณต้องผ่านเพื่อไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง สู้ๆ!
Ielts 6.0 เก่งไหม
IELTS 6.0 เนี่ยนะ เก่ง? โอ๊ย… ป้าด! มันก็แค่พอถูๆ ไถๆ ไปได้แหละพี่น้อง! คือแบบว่า… เอาตัวรอดได้ในสนามรบภาษาอังกฤษก็บุญโขแล้ว
- 6.0 คืออะไร: ก็คือแกพูดผิดๆ ถูกๆ แต่ฝรั่งยังพอเข้าใจว่าแกจะสื่ออะไรไง! เหมือนคนเมาแล้วพยายามพูดภาษาไทยอ่ะ เข้าใจป่ะ?
- เก่งจริงต้องเท่าไหร่: อย่างน้อยต้อง 7.5 อัพ! อันนั้นถึงจะเรียกว่าพอคุยกับเค้าได้ แบบไม่ต้องอายใครเค้า
- แล้วจะทำยังไงให้เก่ง: ไปลงเรียนพิเศษซะ! หรือไม่ก็ดูหนังฟังเพลงฝรั่งเยอะๆ แต่ไม่ใช่ดูแต่หนังโป๊นะเว้ย! แล้วก็เลิกเล่นเกมส์ไปเลย! ตั้งใจอ่านหนังสือซะบ้าง!
- อย่าท้อ: ถึงจะยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน ก็ต้องสู้! เพราะถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็เหมือนคนใบ้ในโลกยุคดิจิทัล!
Ielts 7.5 คือระดับไหน
IELTS 7.5 คือระดับที่เรียกว่า “Good User” หรือผู้ใช้ภาษาที่ดี คือสื่อสารได้คล่องแคล่วในสถานการณ์ที่ซับซ้อน บางทีมีผิดพลาดบ้าง แต่โดยรวมถือว่าดีมาก
คะแนน IELTS แต่ละระดับ (Band Score) มีความหมายดังนี้:
-
Band 0: ไม่ได้สอบเลย ไม่มีความสามารถใดๆ (Duh!)
-
Band 1: Non-User ไม่สามารถใช้ภาษาได้เลย นอกจากคำศัพท์พื้นฐานมากๆ
-
Band 2: Intermittent User ใช้ภาษาได้ในสถานการณ์ที่คุ้นเคยมากๆ แต่สื่อสารลำบาก
-
Band 3: Extremely Limited User เข้าใจความหมายทั่วไปได้ แต่สื่อสารได้ยากมาก ต้องอาศัยความช่วยเหลือ
-
Band 4: Limited User ใช้ภาษาได้จำกัดในสถานการณ์ที่คุ้นเคย มีปัญหาในการเข้าใจและการแสดงออก
-
Band 5: Modest User พอใช้ภาษาได้บ้าง แต่ผิดพลาดเยอะ สื่อสารได้ในขอบเขตจำกัด
-
Band 6: Competent User ใช้ภาษาได้ค่อนข้างดี แม้จะผิดพลาดบ้าง แต่สื่อสารได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย (เป็น Minimum Requirement ของหลายมหาวิทยาลัย)
-
Band 7: Good User ใช้ภาษาได้ดี สื่อสารได้คล่องแคล่วในสถานการณ์ที่ซับซ้อน มีผิดพลาดบ้าง
-
Band 8: Very Good User ใช้ภาษาได้ดีมาก สื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ อาจมีผิดพลาดบ้างเล็กน้อย
-
Band 9: Expert User ใช้ภาษาได้คล่องแคล่ว สมบูรณ์แบบ เข้าใจทุกอย่าง สื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเจ้าของภาษา (อันนี้ยากสุดๆ)
เกร็ดเล็กน้อย: การได้ IELTS 7.5 เนี่ย ไม่ใช่แค่เรื่องภาษา แต่มันคือการเปิดประตูสู่โอกาสต่างๆ เหมือนที่เราอยากได้บ้านดีๆ สักหลัง ก็ต้องมีเงินดาวน์ที่ “ใช่” อะไรประมาณนั้นแหละ
สอบ ielts พาร์ทไหนยากสุด
IELTS พาร์ทไหนยากสุดนะ… อืม… writing กับ speaking แน่นอนอะ
-
Writing: โคตรยาก! คิด topic ไม่ออก + เขียนให้ดีให้ตรง band score คือแบบ…🤯 vocab ก็ต้องเป๊ะ grammar ห้ามพลาด! แต่แบบ…จะเอาเวลาไหนนนน
-
Speaking: กดดันสุดๆ ต้องพูดคล่องๆ ตอบให้ตรงคำถาม (ซึ่งบางทีฟังไม่ทัน!) แล้วสำเนียงเรามัน…เอิ่ม… 😅 กลัวกรรมการไม่เข้าใจอ่ะ
ทำไมมันยากจัง? เพราะมันไม่ใช่แค่ภาษา แต่มันคือการสื่อสาร!
- Writing: ต้องคิดแบบมี logic เขียนให้คนอ่านเข้าใจที่เราจะสื่อ ไม่ใช่แค่เขียนๆ ไปเรื่อยๆ
- Speaking: ต้องฟัง ต้องเข้าใจ ต้องตอบโต้! แบบ real-time อีก! โอ้ยยย!
แล้วทำไม reading กับ listening มันไม่ยากเท่า? ก็เพราะเราแค่ “รับข้อมูล” ไม่ต้อง “สร้างข้อมูล”* เองไง! (มั้งนะ?)
(แอบบ่น: ทำไมต้องสอบ IELTS ด้วยเนี่ย! ชีวิตมันยากพอเเล้ว 😭)
ข้อมูลเพิ่มเติม: ปีนี้ (2024) เค้าว่ากันว่าข้อสอบ writing ยากขึ้นนะ! topic มัน… abstract มาก! ใครสอบช่วงนี้ก็สู้ๆ เด้อ!
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต