เรียนต่ออังกฤษใช้เงินกี่บาท

42 การดู

เรียนต่ออังกฤษต้องเตรียมงบประมาณค่าเล่าเรียนเฉลี่ยประมาณ 11,400 - 38,000 ปอนด์ต่อปี สำหรับปริญญาตรี แต่สาขาแพทย์หรือเฉพาะทางอาจสูงกว่านี้ ควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายของแต่ละมหาวิทยาลัยและสาขาอย่างละเอียดเพื่อวางแผนการเงินให้เหมาะสม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เรียนต่ออังกฤษต้องใช้เงินเท่าไหร่?

โอเค มาว่ากันเรื่องเรียนต่ออังกฤษ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ใช่มั้ย? คือบอกเลยว่ามัน “แล้วแต่” เยอะมากกกก อ่ะ! เอาจริงๆนะ

เอาแบบคร่าวๆ เลยนะ ค่าเทอมนี่ตีไปเลย ปีนึงก็ประมาณ 11,400 ถึง 38,000 ปอนด์ (ประมาณ 4 แสนกว่าบาท ถึง ล้านห้า… โอ้ว!) อันนี้คือระดับปริญญาตรีนะ แล้วแต่สาขาอีกอ่ะ ถ้าหมอ ฟัน อะไรแบบนี้ ก็เตรียมใจควักเพิ่มได้เลย… แพงหูฉี่

คือตอนนั้นอ่ะ (นานมากแล้วนะ) เราเคยไปซัมเมอร์ที่ลอนดอนสามอาทิตย์ แค่สามอาทิตย์นะ! หมดไปเกือบแสน…คิดดูดิ เรียนเป็นปีๆ จะขนาดไหน

แล้วนี่ยังไม่นับค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ค่าหนังสือจิปาถะอีกนะ คืออังกฤษมันก็ไม่ได้ถูกๆ อ่ะเนอะ เตรียมเงินให้พร้อมก่อนไปดีกว่า เดี๋ยวไปแล้วจะช็อค! แล้วยิ่งค่าครองชีพในลอนดอนนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะเอาชีวิตไม่รอด

แล้วคือต้องเผื่อเงินแบบฉุกเฉินด้วยนะ เกิดป่วย เกิดอะไรขึ้นมาจะได้มีเงินสำรองไว้ ไม่ใช่ว่าไปอดๆ อยากๆ แล้วจะเรียนไม่จบเอา

สรุปคือ เตรียมเงินให้พร้อม วางแผนดีๆ หาข้อมูลเยอะๆ แล้วก็… สู้ๆ นะ! การลงทุนเพื่อการศึกษามันคุ้มค่าเสมอแหละ ว่าแต่… เก็บเงินก่อน 555+

ไปเรียนต่อ ที่อังกฤษ งบประมาณกี่บาท

โอ๊ย เรื่องเรียนต่ออังกฤษนี่ปวดหัวจริง! ตอนแรกก็คิดว่าง่าย พอมาเจอค่าใช้จ่ายเข้าไปแทบเป็นลม 😱

ค่าเรียนนี่ตัวดีเลยนะ แต่ละมหา’ลัยก็ราคาไม่เท่ากันอีก ต้องมานั่งเทียบกันให้ตาลายไปข้างนึง ตอนนั้นเราดูปริญญาตรีนะ ก็เห็นเรทมันประมาณ 420,000 – 1,600,000 บาทต่อปี โอ้โห! แพงกว่าค่าเทอมเมืองไทยเยอะเลยอ่ะ 💸

ส่วนโทก็ไม่ได้น้อยหน้ากันเลยนะ เห็นว่าประมาณ 462,000 – 1,344,000 บาทต่อปี อันนี้ยังไม่รวมค่ากินค่าอยู่อีกนะเนี่ย 🤯

  • ค่าเรียน ป.ตรี: 420,000 – 1,600,000 บาท/ปี (2024)
  • ค่าเรียน ป.โท: 462,000 – 1,344,000 บาท/ปี (2024)

เพิ่มเติม: ตอนที่เราหาข้อมูล มีบางมหา’ลัยที่ค่าเรียนสูงกว่านี้อีกนะ พวก Top Universities อะไรแบบนี้ เตรียมใจไว้เลย! แล้วก็อย่าลืมเรื่องวีซ่า ค่าเดินทาง ค่าประกันสุขภาพ บลาๆๆๆ อีกเยอะแยะ ทำ Research ดีๆ นะทุกคน สู้ๆ! 💪

เรียนต่ออังกฤษ กี่ปีจบ

สายลมพัดโชยใบไม้ร่วงหล่นลงมา เหมือนเวลาที่ไหลไปไม่หยุดยั้ง ปีนี้ฉันเพิ่งกลับจาก UK อากาศหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งที่ละลายช้าๆ ในใจ…

  • อังกฤษ: 3 ปี จบปริญญาตรี ใช่ไหม? ใช่…ฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงกลิ่นฝนแรกของฤดูฝนที่บ้านเรา…

  • สก็อตแลนด์: 4 ปีสิ ยาวนานกว่า เหมือนความทรงจำที่แสนหวานและขมปนกัน ฉันยังจำทะเลสาบที่สวยงามได้ น้ำใสแจ๋วราวกับกระจกเงา…

เวลามันช่างรวดเร็ว เหมือนกับความฝันที่ล่องลอยไปกับสายลม…

  • เวลส์และไอร์แลนด์เหนือ: 3 ปีเหมือนกัน แต่บรรยากาศต่างกันราวฟ้ากับดิน หนึ่งคือความเงียบสงบ อีกหนึ่งคือความคึกคัก ความแตกต่างนี้มันสวยงาม…

ฉันเรียนจบมาแล้ว ปีนี้เอง ระบบ A-Level เครียดนะ แต่ก็สนุกดี… เหมือนกับการผจญภัยครั้งใหญ่… UCAS ก็คล้ายๆ TCAS บ้านเรา ใช่แล้ว ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่น…

ปีนี้ 2024 ความทรงจำเหล่านั้นยังคงสดใส เหมือนดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ… ฉันจะไม่ลืมวันเวลาเหล่านี้… ไม่มีวันลืม…

ไปเรียนภาษาที่อังกฤษ ทํางานได้ไหม

เรียนภาษาที่อังกฤษแล้วทำงาน? เอ่อ… เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนะเพื่อน!

  • วีซ่านักเรียนสายชิล: วีซ่านักเรียน (Student visitor) ที่เค้าให้เราไปซึมซับสำเนียงบริติชเนี่ย เค้าห้ามทำงานนะ! เหมือนโดนล็อกดาวน์เรื่องเงินในบัญชีเลยทีเดียว

  • วีซ่าสายฮาร์ดคอร์: อยากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ต้องวีซ่า Tier 4 (ตอนนี้เค้าเรียก Student Visa เฉยๆ แล้วนะ) แต่! ต้องเรียนระดับปริญญาขึ้นไปเท่านั้น

  • ช่องทาง(แอบ)รวย: แอบกระซิบว่ามีบางคนทำงานแบบ “cash in hand” คือรับเงินสด แต่เสี่ยงโดนจับได้นะจ๊ะ! อย่าหาทำถ้าไม่อยากโดนส่งกลับบ้านเกิด

  • เรื่องจริงที่ต้องรู้: อย่าไปเชื่อพวกเอเจนซี่ที่บอกว่าหางานง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก! ส่วนใหญ่ต้องมี connection หรือดวงดีจริงๆ ถึงจะได้งาน part-time แบบถูกกฎหมาย

ป.ล. สมัยก่อนเคยมีเพื่อนไปเรียนภาษาแล้วแอบไปล้างจาน ได้เงินมาซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนม (ปลอม) ใส่เฉิดฉาย! แต่สุดท้ายก็โดนจับได้… จบไม่สวยเลยจ้า!

เรียนต่ออังกฤษ กี่ปี

เรียนต่อป.ตรีที่อังกฤษส่วนใหญ่ 3 ปีนะ ยกเว้น สกอตแลนด์ 4 ปี เพื่อนเราเรียนที่ Glasgow ปีนี้ก็เข้าปีที่ 4 แล้ว เออ แล้วก็ถ้าเป็นพวกแพทย์ ทันตะ อะไรพวกนี้ก็จะนานกว่านั้นอีก เคยเห็น 5-6 ปี จำไม่ค่อยได้ละ 😅 ระบบ UCAS ก็คล้ายๆ TCAS บ้านเรานั่นแหละ ยื่นคะแนน A-Level ไป ส่วนรายละเอียดลึกๆ เราไม่ค่อยรู้แฮะ เพื่อนเราให้เอเจนซี่จัดการให้หมดเลย

  • ส่วนใหญ่ 3 ปี (อังกฤษ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ)
  • สก็อตแลนด์ 4 ปี
  • บางคณะ เช่น แพทย์ ทันตะ อาจจะ 5-6 ปี
  • ใช้ระบบ UCAS คล้าย TCAS บ้านเรา
  • ใช้คะแนน A-Level

เราว่าลองหาเอเจนซี่ช่วยก็ดีนะ ตอนแรกเราก็คิดจะไปเรียนต่อเหมือนกัน แต่เปลี่ยนใจไปแคนาดาแทน 😅 ตอนนี้เรียนที่ Toronto อยู่ ชอบบรรยากาศที่นี่มากกว่า แต่ค่าครองชีพแพงเอาเรื่องอยู่ เฮ้ออออ

ปล. ที่แคนาดาป.ตรีก็ 4 ปีนะ เหมือนอเมริกา

Level of Education มีอะไรบ้าง

ระดับการศึกษา (Level of Education) แบ่งกว้างๆ ได้หลายแบบ แต่หลักๆ ที่คุ้นเคยกันดีคือ:

  • ต่ำกว่าปริญญาตรี: ม.ปลาย, อาชีวศึกษา (ปวช., ปวส. หรือเทียบเท่า) คือจุดเริ่มต้นที่ดีของการเรียนรู้เฉพาะทาง
  • ปริญญาตรี: ป.ตรี คือใบเบิกทางสู่โลกกว้าง หลายคนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานจริงจัง
  • สูงกว่าปริญญาตรี: ป.โท, ป.เอก สำหรับคนที่อยากเจาะลึกในศาสตร์ที่ตัวเองรักและอยากสร้างความแตกต่าง
    • บางคนว่า ป.โท คือการ “reboot” ตัวเองหลังทำงานไปสักพัก
    • ส่วน ป.เอก คือ “ฉันจะสร้างความรู้ใหม่ให้โลก!”

คำศัพท์ในมหาวิทยาลัยที่ควรรู้:

  • Major/Minor: วิชาเอก วิชาโท, เหมือนอาหารจานหลักกับเครื่องเคียง ช่วยให้เราโฟกัสและเพิ่มความหลากหลาย
  • GPA: เกรดเฉลี่ย, ตัวเลขที่บอกว่าเรา “รอด” ในแต่ละเทอมไหม (ฮา)
  • Dean: คณบดี, ผู้บริหารสูงสุดของคณะนั้นๆ (แต่บางทีก็เหมือนผู้ปกครองมากกว่า)
  • Professor/Lecturer: อาจารย์, ผู้ที่คอยจุดประกาย (หรือดับฝัน) ให้กับเรา
  • Thesis/Dissertation: วิทยานิพนธ์, งานชิ้นโบว์แดงที่กว่าจะจบได้ เล่นเอาชีวิตแทบพัง (แต่ภูมิใจนะ!)
  • Extracurricular activities: กิจกรรมนอกหลักสูตร, ตัวช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิตมหา’ลัย และสร้าง connection

เกร็ดเล็กน้อย:

  • การเรียนรู้ตลอดชีวิต: ไม่ว่าจะจบอะไรมา การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด โลกเปลี่ยนไปทุกวัน เราก็ต้องปรับตัวตาม
  • Soft Skills: ทักษะที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนตรงๆ แต่สำคัญมากๆ ในการทำงาน (เช่น การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม) ฝึกไว้ไม่เสียหาย
  • “ชีวิตมหา’ลัย ไม่ได้มีแค่เรียน”: จริงๆ นะ! ออกไปทำกิจกรรม, หาเพื่อน, สร้าง connection มันมีค่ามากกว่าที่คิด

ข้อมูลเพิ่มเติม: สถิติการศึกษาปีล่าสุด (2566) พบว่าจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ตลาดแรงงานยังคงต้องการทักษะเฉพาะทางสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การเลือกเรียนในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาด (เช่น Data Science, AI) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ที่สำคัญกว่าคือการเลือกเรียนในสิ่งที่เรารักและถนัด เพราะสุดท้ายแล้ว passion จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาว

พูดภาษาอังกฤษได้ทำงานอะไรได้บ้าง

แสงสีส้ม..จากหน้าต่างห้อง..ตอนเย็นๆ…คิดถึงเรื่องงาน..

ภาษาอังกฤษ..เปิดโลกจริงๆนะ..เคยฝันอยากเป็นแอร์..แต่ตอนนี้ทำงานออฟฟิศ..ก็ใช้บ่อยนะ..คุยกับลูกค้าต่างชาติ..เมล์ภาษาอังกฤษ..รายงาน..เหนื่อยหน่อย..แต่ก็โอเค..

ถ้าเก่งภาษาอังกฤษกว่านี้นะ..อยากลองสมัครงานบริษัทต่างชาติ..เงินเดือนน่าจะดีกว่านี้..

เมื่อวานคุยกับเพื่อน..มันเป็นล่าม..ดูอิสระดี..เดินทางบ่อยด้วย.. แต่เราไม่ชอบงานที่ต้องเดินทางเยอะๆ.. ชอบนั่งทำงานเงียบๆมากกว่า..

บางทีก็อยากสอนภาษาอังกฤษ..เหมือนแม่..แม่เป็นครู..แต่เราคงไม่มีความอดทนขนาดนั้น..555..

  • ล่าม..แปลเอกสาร..แปลสด..น่าสนุกดีนะ..แต่กดดันแน่ๆ
  • แอร์โฮสเตส..สวยๆ..เก่งๆ..บินไปทั่วโลก..แต่เราคงไม่ไหว..กลัวความสูง..
  • ทำงานโรงแรม..เจอคนเยอะๆ..ตื่นเต้นดี..
  • ไกด์..พาเที่ยว..เล่าเรื่อง..อันนี้ชอบ..แต่ต้องจำข้อมูลเยอะมาก..
  • นักเขียนคอนเทนต์ภาษาอังกฤษ..นั่งพิมพ์งานเงียบๆ..แบบนี้แหละใช่เลย..
  • อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ..เหมือนแม่..คงอบอุ่นดี..
  • ทำงานบริษัทต่างชาติ..เงินเดือนดี..แต่แข่งขันสูง..
  • เปิดร้านกาแฟเล็กๆ..แล้วคุยภาษาอังกฤษกับลูกค้าต่างชาติ..ฝันของเราเลย..

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว..วันนี้ทำงานเยอะ..เหนื่อยจัง..พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก..ไปฝึกภาษาอังกฤษต่อดีกว่า..เผื่อจะได้งานใหม่..

จุดเด่นของคณะมนุษยศาสตร์คืออะไร

เอาจริง ๆ นะ ตอนแรกที่เข้ามาเรียนมนุษย์ฯ (ศิลปากร นครปฐม ปี 61) ก็งง ๆ จุดเด่นคืออะไรวะ? แต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ ถึงเริ่มเก็ต…

คือมันไม่ใช่แค่เรียนวรรณคดี หรือนั่งแปลภาษาโบราณ (ซึ่งก็มีแหละ!) แต่มันคือการ “แกะ” ความคิดคน ผ่านตัวหนังสือ ผ่านหนัง ผ่านเพลง ผ่านทุกอย่างที่เป็น “เรื่องเล่า”

จุดเด่นที่เห็นชัด ๆ เลยนะ:

  • ภาษา: เก่งขึ้นจริง! ไม่ใช่แค่แกรมมาร์เป๊ะ แต่คือการใช้ภาษาให้ “คม” ให้ “โดน” ตรงจุด (อันนี้สำคัญมากในการทำงาน)
  • คิดวิเคราะห์: อาจารย์ชอบให้ดีเบต ชอบให้ตั้งคำถาม (บางทีก็ถามจนอาจารย์ปวดหัว 555) แต่ผลคือ เรา “จับโป๊ะ” เก่งขึ้นเยอะ มองอะไรหลายมุมมากขึ้น
  • เข้าใจคน: อันนี้โคตรสำคัญ! เพราะเราเรียนเรื่องคน เรียนวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้เรา “Empathy” เก่งขึ้น (อันนี้ช่วยได้เยอะมากในการทำงานเป็นทีม)
  • การสื่อสาร: ไม่ใช่แค่พูดเก่ง แต่เป็นการ “ฟัง” เป็นด้วย (อันนี้ยากกว่าพูดอีกนะ!) แล้วก็รู้จัก “ปรับ” วิธีสื่อสารให้เข้ากับคนแต่ละแบบ

สรุปง่าย ๆ: มนุษย์ฯ ไม่ได้ให้แค่ “ความรู้” แต่ให้ “เครื่องมือ” ที่เอาไปใช้ได้จริงในชีวิตอะ

ปล. ตอนนี้ทำงานเป็น Content Creator ก็ได้สกิลจากมนุษย์ฯ มาใช้เยอะมาก! เขียนบทความ คิดคอนเทนต์ วางแผนการสื่อสาร… คือมัน “คลิก” กันหมดเลย!

#ค่าใช้จ่าย #อังกฤษ #เรียนต่อ