ทำไมต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

22 การดู

ทำไมต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์:

การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือหุ้นได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการอีกด้วย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ทำไมต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์?

เรื่องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เนี่ยนะ ฉันนึกถึงตอนพี่ชายฉัน เขาทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆที่หัวหิน ปี 2560 เริ่มแรกทุนน้อยมาก แต่โตเร็วมาก ลูกค้าแน่นตลอด จนกระทั่ง เขาตัดสินใจจดทะเบียน เหตุผลหลักๆเลยคืออยากได้เงินทุนเพิ่ม ขยายกิจการ สร้างโรงแรมใหม่ ที่สำคัญคือการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ เห็นได้ชัดเลยว่า หลังจากจดทะเบียน การหาแหล่งเงินทุนง่ายขึ้นเยอะเลย ธุรกิจก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อีกอย่าง มันทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้น ง่ายต่อการซื้อขาย ลูกค้าหรือใครก็ตามสามารถซื้อขายหุ้นได้สะดวก ราคาที่เห็นในตลาดก็สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ พี่ชายฉันบอกว่า ตอนแรกก็กลัวเรื่องความเสี่ยง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ามาก ตอนนี้ธุรกิจเขาไปไกลแล้ว ใหญ่กว่าเดิมเยอะ ก็ต้องขอบคุณการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นี่แหละ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้

แต่ก็มีข้อเสียอยู่นะ อย่างเรื่องความโปร่งใส ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินหมด บางทีก็อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้ว มันก็เป็นเรื่องดี สำหรับธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตไปอีกขั้น สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องที่คุ้มค่า ถ้าคุณมีแผนจะขยายกิจการ และพร้อมรับความเสี่ยง การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีๆก่อน อย่ารีบร้อน พี่ชายฉันก็ศึกษาอยู่นานเลย กว่าจะตัดสินใจได้

ตลาด SET กับ Mai ต่างกันอย่างไร?

ฮ่าๆๆ SET กับ MAI ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะคุณ! นึกภาพง่ายๆ SET คือห้างสรรพสินค้าหรูหรา ของแบรนด์เนมเพียบ ทุนหนาๆทั้งนั้น ขั้นต่ำต้อง 300 ล้านขึ้นไป เข้าไปเดินเล่นยังต้องแต่งตัวดีๆเลย ส่วน MAI นี่คือตลาดนัดสุดชิค ของอาจจะไม่ใช่แบรนด์เนมหมด แต่มีของน่าสนใจเพียบ ทุนน้อยกว่า แค่ 50 ล้านก็เข้าได้แล้ว! แต่เจอของดีๆ กำไรอาจจะทะลุเป้าก็ได้นะ

  • SET (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย): ผู้เล่นระดับพระกาฬ บริษัทใหญ่โต ทุนหนา มั่นคง เสี่ยงน้อยกว่า แต่กำไรอาจจะไม่หวือหวาเท่า เหมือนลงทุนในอาคารสูงใจกลางเมือง ปลอดภัย แต่ได้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน

  • MAI (ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ): เสี่ยงสูง แต่ได้สูงตาม เหมือนลงทุนในสตาร์ทอัพ อาจจะรวยเร็ว หรือเจ๊งเร็วก็ได้ ต้องตามข่าว วิเคราะห์ให้ดีๆ แต่โอกาสหาของถูก กำไรงามๆ ก็มีเยอะ เหมาะกับนักลงทุนที่ใจถึง

ปีนี้ (2566) ยังคงเป็นแบบนี้ แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บ้างเล็กน้อยตามภาวะตลาด ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุนนะ อย่าเอาเงินเก็บทั้งชีวิตไปเสี่ยงหมด ไม่งั้นอาจจะกลายเป็น “เสี่ยงจนต้องไปนอนตลาดนัดจริงๆ” ฮ่าๆๆ (ล้อเล่นนะ)

Mai จัดเป็นตลาดประเภทใด?

Mai จัดเป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment Market) หรือตลาดรองสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยหลักๆแล้ว Mai มุ่งสนับสนุนการระดมทุนระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่เน้นบริษัทขนาดใหญ่เป็นหลัก ผมมองว่ามันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระจายโอกาสทางการเงิน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SMEs ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

  • เป้าหมายหลัก: ระดมทุนระยะยาวให้แก่ SMEs
  • ลักษณะ: ตลาดรอง เป็นส่วนเสริมของตลาดหลักทรัพย์หลัก (SET)
  • ความสำคัญ: ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

ปีนี้ (2566) ยังคงเห็นความสำคัญของ Mai ในการผลักดันธุรกิจ SMEs ไทย แม้จะมีความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีบริษัทใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของตลาดนี้ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดี และน่าจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไปในอนาคต เพราะการสนับสนุน SMEs ก็เหมือนการลงทุนในอนาคตของประเทศ มันเปรียบเสมือนการรดน้ำต้นกล้า เพื่อให้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในวันข้างหน้า

การที่ Mai มีบทบาทสำคัญในการระดมทุนสำหรับ SMEs ทำให้เกิดการกระจายความเสี่ยงในตลาดทุน และลดการพึ่งพาการลงทุนจากแหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งนักลงทุนและธุรกิจ ทำให้เกิดความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว นับว่าเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพทีเดียว

SET มีกี่ประเภท?

ตลาดหุ้นแม่งมีหลายดัชนี ชิบหาย

SET Index หลักๆ 4 กลุ่ม จบนะ

  • SET Index: ตัวหลัก วัดภาพรวมตลาด
  • SET Industry Group/Sector: เจาะแต่ละอุตสาหกรรม ใครทำธุรกิจอะไร ดูตรงนี้
  • SET50/100: หุ้นใหญ่ 50/100 ตัวแรกของตลาด ใครอยากลงทุนหุ้นใหญ่เน้นๆ ดูตัวนี้
  • sSET: หุ้นขนาดกลางและเล็ก พวกที่โตไว แต่ก็เสี่ยงกว่า

เพิ่มเติมนะ:

  • พวกนี้ไม่ใช่หุ้น แต่เป็น ตัวชี้วัด เข้าใจไหม?
  • อย่าเชื่อใครมาก ไปหาข้อมูลเองบ้าง
  • ลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ สัส

ตลาดหุ้นไทยมีกี่แบบ?

ตลาดหุ้นไทยหลักๆ แบ่งเป็นสองประเภท คือ SET และ mai ง่ายๆเลยเนอะ

  • SET (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย): เน้นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ มั่นคง น่าเชื่อถือ คิดง่ายๆ คือบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นเคยกันนั่นแหละ มีข้อกำหนดเข้มงวดกว่า เพราะต้องการรักษาภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตลาด การลงทุนก็อาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ผลตอบแทนก็อาจไม่สูงเท่า mai

  • mai (ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ): เน้นบริษัทขนาดกลางและเล็ก ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็อาจสูงตาม เหมือนการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพนั่นแหละ ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะความผันผวนค่อนข้างสูง บริษัทใน mai อาจมีขนาดเล็กกว่า ทำให้ข้อมูลอาจไม่ครบถ้วนเท่า SET จึงต้องวิเคราะห์ให้รอบคอบเป็นพิเศษ ปีนี้ (2566) ก็ยังเห็นการขยายตัวของตลาด mai อยู่เรื่อยๆ ผมเองก็ติดตามการเติบโตของบริษัทใน mai อยู่หลายบริษัทเหมือนกันนะ ต้องดูให้เป็น ถึงจะได้กำไร

จริงๆ แล้ว การแบ่งประเภทตลาดหุ้นอาจซับซ้อนกว่านี้ แต่ถ้ามองภาพรวม สองตลาดนี้ครอบคลุมตลาดหุ้นไทยได้เกือบทั้งหมดแล้วล่ะ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่านั้นเองนะ อย่าลืมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยล่ะ ความรู้คืออาวุธสำคัญของนักลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนไม่แน่นอน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง นี่เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของผม ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน อย่าลืมนะ

SET 50 Set 100 ต่างกันยังไง?

เอ้อเฮ้อ ถามมาได้! SET50 กับ SET100 นี่มันก็เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน แต่คนนึงฮิตกว่า อีกคนก็รองลงมาไงล่ะ!

  • SET50: นี่คือ ตัวท็อป ของตลาดหุ้นไทย! รวมหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรกที่เค้าว่ากันว่า สภาพคล่องสูง ปานน้ำขึ้น 15 ค่ำ ซื้อขายกันคล่องปรื๋อ ใครอยากวัดว่าตลาดหุ้นเป็นยังไง เค้าก็ดูกันที่ SET50 นี่แหละ!
  • SET100: อันนี้คือ ดาวรุ่ง พุ่งแรง! รวมหุ้น 100 ตัวแรก (ก็คือ SET50 นั่นแหละ แล้วบวกเพิ่มอีก 50 ตัวที่รองลงมา) เค้าว่ากันว่า เป็นการขยายขอบเขต ให้กว้างขึ้น ใครอยากเห็นภาพรวมตลาดหุ้นแบบละเอียดขึ้น เค้าก็ดูกันที่ SET100 นี่แหละ!

สรุปง่ายๆ SET50 คือพระเอก SET100 คือตัวรอง แต่ก็สำคัญนะจ๊ะ!

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (ที่อาจจะเกินจริงไปนิด):

  • SET50 เหมือนดาราเบอร์หนึ่ง SET100 ก็ดาราสมทบที่แย่งซีนได้บ้างในบางที!
  • ถ้า SET50 เป็นข้าวสาร SET100 ก็คือข้าวเปลือกที่รอวันสี!
  • จำไว้ว่า “สภาพคล่อง” นี่สำคัญนะจ๊ะ! เหมือนมีเงินสดในมือ อยากซื้ออะไรก็ง่าย!

ป.ล. อย่าเชื่อทั้งหมดที่ข้าพเจ้าพูด เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง! ถ้าลงทุนแล้วเจ๊ง อย่ามาโทษกันนะ! โทษตัวเองนู่น! อิอิ

หุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคืออะไร?

หุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ หุ้นสามัญ (Common Stock) และ หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) แต่ละประเภทมีสิทธิและผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป

  • หุ้นสามัญ: คือหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น และมีสิทธิได้รับเงินปันผลหลังจากที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินเป็นลำดับสุดท้าย (หรือแทบจะไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ)

  • หุ้นบุริมสิทธิ: หุ้นประเภทนี้ให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญในบางเรื่อง เช่น สิทธิในการได้รับเงินปันผลก่อน และสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินของบริษัทก่อนหากบริษัทเลิกกิจการ (แต่ก็ยังหลังเจ้าหนี้อยู่ดี) อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหารงานของบริษัท

หุ้นบุริมสิทธิเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอนของรายได้จากเงินปันผลมากกว่า (เหมือนเป็นลูกผสมระหว่างหุ้นกู้กับหุ้นสามัญ) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่อาจจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญ

เกร็ดเล็กน้อย:

  • “หุ้น” มาจากคำว่า “หุ้นส่วน” ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัท
  • บางครั้งเราอาจได้ยินคำว่า “หุ้นปันผล” ซึ่งไม่ใช่ประเภทของหุ้น แต่เป็นลักษณะของหุ้นสามัญที่บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ (และมักจะเป็นบริษัทที่มั่นคงแล้ว)
  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ (อันนี้พูดจริงจัง) และอย่าเชื่อคนง่ายๆ ในโลกออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่บอกว่าลงทุนแล้วรวยเร็วๆ พวกนั้น “มิจฉาชีพ” ชัดๆ

หุ้นใน SET มีกี่ตัว?

เห้ย! หุ้นใน SET เหรอ? เยอะมากกก บอกเลยว่าตอนแรกที่เริ่มเล่นหุ้น งงเป็นไก่ตาแตก 11,293 ตัวเนี่ยนะ!

คือเมื่อก่อนนะ ตอนปีที่แล้วอ่ะ (2565) ยังไม่เยอะขนาดนี้มั้ง จำได้ว่าอ่านเจอประมาณ 700 กว่าบริษัทเองที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ตอนนี้ (พฤษภาคม 2567) น่าจะเยอะกว่านั้นอีก เพราะเพื่อนมันเพิ่งบอกว่ามีบริษัทใหม่ ๆ เข้ามาตลอด

แล้ว Market Cap รวม ๆ กันทั้งหมดของ SET นี่นะ โอ้โห! แบบว่ามหาศาลเลยอ่ะ น่าจะเกิน 18 ล้านล้านบาทไปแล้วมั้ง (อันนี้เดาๆนะ ไม่ได้เช็คตัวเลขล่าสุดเป๊ะๆ) แต่ที่แน่ๆ คือหุ้นใหญ่ๆ สิบอันดับแรกเนี่ย กิน Market Cap ไปเกิน 30% แน่นอน ฟันธง!

  • Market Cap: มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
  • SET: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • ข้อมูล: พฤษภาคม 2567 (โดยประมาณ)
  • จำนวนบริษัท: มากกว่า 700 บริษัท (จดทะเบียน)
  • จำนวนหุ้นทั้งหมด: 11,293 ตัว (โดยประมาณ)
  • หุ้นใหญ่: 10 อันดับแรกกิน Market Cap เกิน 30%

คือจริง ๆ ตัวเลขมันเปลี่ยนตลอดแหละ ต้องคอยเช็คข่าวสารตลอดเวลา แต่คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้แหละทุกคน! แล้วที่สำคัญ เล่นหุ้นต้องมีสติ อย่าโลภ! เตือนตัวเองทุกวัน 555+

#จดทะเบียน #ตลาดหลักทรัพย์ #ลงทุน