มีงบ100ลงทุนอะไรดี
งบ 100 ลงทุนอะไรดี:
- ลงทุนน้อย: สำหรับคนงบน้อย มีเงินหลักร้อย สามารถเริ่มต้นลงทุนได้หลายทาง
- ทางเลือก: พิจารณา สลากออมทรัพย์, กองทุนรวม (เน้นกองทุนรวมตลาดเงิน), หรือลงทุนในตัวเอง (เช่น คอร์สเรียนออนไลน์)
- ความเสี่ยงสูง: Cryptocurrency มีความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะสำหรับเงินทุนเริ่มต้นจำนวนน้อย
- อื่นๆ: หุ้นสามัญ, หุ้นกู้/ตราสารหนี้, พันธบัตร มักต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า
- ธุรกิจค้าขาย: เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ อาจเป็นทางเลือก แต่ต้องศึกษาตลาดและวางแผนให้ดี
- สำคัญ: ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
ลงทุน 100 บาทอะไรดี? ไอเดียสร้างกำไรเล็กๆ
100 บาทเนี่ยนะ? เอาจริง ๆ นะ สมัยเรียนมหาลัย ปีสอง ตอนนั้นเงินเก็บมีแค่ร้อยกว่าบาท อยากได้รองเท้าแตะคู่ใหม่มาก เลยเอาเงินไปซื้อของมือสอง ได้รองเท้าแตะมาคู่ละ 70 บาท เหลือเงินอยู่ ก็ซื้อขนมกิน อิ่มท้องและได้ของใช้ มีความสุขดีนะ นี่คือการลงทุนในตัวเองแบบง่าย ๆ เลย ไม่ต้องคิดอะไรมาก ได้ของที่อยากได้ด้วย
อีกอย่างที่เคยทำคือ ตอนนั้นกำลังอยากกินกาแฟ แต่เงินไม่พอซื้อร้านดังๆ เลยซื้อกาแฟซองถูกๆ มาชงเอง ประหยัดไปได้เยอะเลย ประหยัดแล้วก็เหลือเงินเก็บเพิ่ม อาจจะไม่ใช่การลงทุนแบบสร้างรายได้ แต่เป็นการลงทุนในความสุขเล็กๆ แบบประหยัด ก็ดีไปอีกแบบ
ส่วนหุ้นสามัญ หุ้นกู้ พวกนั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักเลย จริงๆ เงินร้อยเดียว เอาไปลงทุนพวกนี้ก็ยากนะ ต้องศึกษาเยอะ แต่ถ้าอยากลอง อาจจะลองศึกษาพวกกองทุนรวม หรือสลากออมทรัพย์ดู แต่สำหรับฉัน ตอนนั้นมันไกลตัวไปหน่อย ไม่กล้าเสี่ยง กลัวเสียเงิน จริงๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ด้วย
สำหรับ Cryptocurrency ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้นไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ดูมันซับซ้อนไปหมด ถ้าจะลงทุน ต้องศึกษาเยอะมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เอาเงินร้อยเดียวไปเสี่ยงคงไม่คุ้ม ดีไม่ดีหายหมด สำหรับเงินแค่ร้อยเดียว การลงทุนในตัวเองหรือหาอะไรทำเล็กๆน้อยๆ น่าจะเหมาะสมกว่า คิดแล้วก็รู้สึกว่า การลงทุนในตัวเองนั้นคุ้มค่ากว่านะ อย่างน้อยก็ได้ความสุขและประสบการณ์กลับมา มากกว่าความเสี่ยงที่จะเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
มือใหม่ควรลงทุนอะไร
เอาล่ะ มือใหม่หัดลงทุน! อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ เวอร์ชั่นกินมาม่าอยู่บ้านนะ (ฮา) มาดูกันว่ามีอะไรน่าลอง (แบบไม่เจ็บหนัก) บ้าง ปี 2024 นี่แหละ!
- กองทุนรวม: เหมือนมีเชฟมาปรุงพอร์ตให้เสร็จสรรพ เราแค่เลือกรสชาติที่ชอบ (เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ว่าไป)
- หุ้นบลูชิพ: หุ้น “ตัวใหญ่” ที่เค้าว่ากันว่ามั่นคง (เหมือนเสาหลักประกันของบ้าน…แต่บ้านก็อาจจะพังได้นะ เข้าใจตรงกันนะ)
- พันธบัตรรัฐบาล: ให้รัฐบาลยืมตังค์ แล้วเค้าก็คืนดอกเบี้ยให้เรา (เหมือนฝากเงินกับคนที่ดูน่าเชื่อถือที่สุดในประเทศ…มั้ง)
- ทองคำ: ของมันต้องมี! เอาไว้เก็งกำไรยามสงคราม (หรือแค่ตอนเมียอยากได้สร้อยเส้นใหม่ก็แล้วแต่)
- อสังหาริมทรัพย์: ซื้อบ้าน/คอนโดให้คนอื่นเช่า (แล้วก็ปวดหัวกับคนเช่า…แต่ก็ได้เงินนี่หว่า)
- เงินฝากประจำ: อันนี้เบสิกสุดๆ ฝากไว้กินดอกเบี้ยน้อยๆ (แต่ชัวร์ๆ)
- กองทุน ETF: รวมหุ้นหลายตัวไว้ในกองเดียว กระจายความเสี่ยง (แต่ก็ไม่ได้แปลว่ารอดทุกทีนะ)
- P2P Lending: ปล่อยกู้ให้คนอื่นผ่านแพลตฟอร์ม (ดอกเบี้ยดี แต่ก็เสี่ยงโดนเบี้ยว…คิดดีๆ)
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดอ่านหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุน (และอย่าเชื่อคนง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่บอกว่า “รวยแน่นอน!”)
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบขำๆ แต่จริงจัง):
- อย่าลงเงินทั้งหมดที่มี: เหลือไว้ซื้อข้าวกินด้วย!
- ศึกษาข้อมูล: อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ (เหมือนจีบคนที่คุยกันไม่รู้เรื่อง)
- กระจายความเสี่ยง: อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว (ถึงแม้ว่าตะกร้าใบนั้นจะดูสวยแค่ไหนก็ตาม)
- อย่าโลภ: เห็นคนอื่นได้กำไรเยอะ อย่าเพิ่งรีบตาม (เดี๋ยวจะกลายเป็น “แมงเม่าบินเข้ากองไฟ”)
- ทำใจ: การลงทุนมีขึ้นมีลง (เหมือนชีวิตคู่…บางทีก็หวาน บางทีก็ขม)
แถม: ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงจริงๆ ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ (แต่ก็ต้องเลือกดีๆ นะ…บางทีเค้าก็อยากขายของให้เราเฉยๆ) โชคดีนะเพื่อน!
มีเงิน 10000 ลงทุนอะไรดี 2566
โหย! 10,000 บาทจะลงทุนอะไรดีเนี่ย ปี 2566 นี่มันปีเสือ (หรือเปล่า?) ตลาดมันดุเดือดกว่าสิงโตคลั่งอีกนะ เอาล่ะ มาดูตัวเลือกแบบฮาๆ แต่แฝงความจริงจังกัน
-
พันธบัตรออมทรัพย์? อืมมม เหมือนฝากประจำที่ดอกเบี้ยมัน…น้อยใจ ได้แค่ 2-4% หักภาษีอีก 15% เหลือเท่าไหร่? คิดเลขเองนะ ไม่ใช่ว่าฉันขี้เกียจ แต่คิดแล้วปวดหัว เหมือนคิดภาษีบ้านตัวเองเลย! เหมาะกับคนที่อยากนอนหลับฝันดี ไม่หวังรวยเร็ว เหมือนเป็นการเก็บเงินแบบปลอดภัยสุดๆ แต่เงินเฟ้อมันวิ่งไวกว่ากระต่าย ระวังจะตามไม่ทันนะ
-
กองทุนรวม? อันนี้มันมีหลายแบบมากกกก เหมือนไปตลาดแล้วเจอของกินเพียบ! มีทั้งแบบเสี่ยงสูง ได้เยอะ แต่เสี่ยงขาดทุนยับเยิน เหมือนเล่นหวย กับแบบเสี่ยงต่ำ ได้น้อย แต่ปลอดภัย เหมือนเก็บเงินในกระป๋อง ต้องศึกษาข้อมูลดีๆ อย่าโลภมาก เดี๋ยวเจ็บตัว (เพื่อนผมเคยลงทุนแบบเสี่ยงสูง ตอนนี้ยังนอนกอดหมอนเศร้าอยู่เลย!)
-
หุ้น? อันนี้ลุ้นระทึกกว่าขึ้นเขาช้างเผือก ปีนี้ตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเล่นชิงช้าสวรรค์ ใจต้องแข็งแรง ต้องศึกษาบริษัทที่น่าลงทุนให้ดี อย่าตามกระแส เดี๋ยวโดนเทรดเดอร์มือโปรหลอกเอา (ส่วนตัวผมนี่ เคยลงทุนแล้วเจ๊ง จำได้แม่นเลย! เป็นบทเรียนราคาแพงมากๆ)
สรุป: เงิน 10,000 บาท น้อยไปหน่อยสำหรับการลงทุนแบบหวังผลกำไรมหาศาล แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดี เลือกแบบที่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ อย่าโลภมาก และอย่าลืม “ลงทุนในตัวเอง” ก็สำคัญนะ เช่น เรียนภาษาใหม่ เพิ่มทักษะ เพราะนั่นคือการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด แล้วคุณจะรวยทั้งเงินและความรู้!
ข้อมูลเพิ่มเติม (ปี 2566):
- อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรออมทรัพย์อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- ความเสี่ยงในการลงทุนกองทุนรวมและหุ้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ควรทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ถ้าไม่มั่นใจ
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ลงทุนอะไรปลอดภัยที่สุด
การลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด… หืม, มันเหมือนกับการถามว่า “อะไรคืออาหารที่ไม่อ้วนที่สุด?” ไม่มีอะไรที่ “ที่สุด” จริงๆ หรอก มันขึ้นอยู่กับ “เรา” ต่างหาก
-
พันธบัตรรัฐบาล: เหมือนเป็น “เตียงนอน” ของการลงทุน เสี่ยงน้อย ผลตอบแทนก็เลย “นุ่มนวล” ตามไปด้วย แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะ (เหมือนได้นอนหลับสบายๆ ดีกว่านอนไม่หลับเลย)
-
ตราสารหนี้: คล้ายๆ พันธบัตร แต่มีความหลากหลายกว่า (รสชาติอาจจะเข้มข้นขึ้นนิดหน่อย) แต่ก็ต้องเลือก “คนทำ” หรือผู้ออกตราสารดีๆ หน่อยนะ
-
เงินฝากธนาคาร (ที่มีประกัน): อันนี้ก็พื้นฐานเลย แต่ดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าเงินเฟ้อ (เหมือนเดินอยู่กับที่มากกว่า)
จริงๆ แล้ว “ความปลอดภัย” มันเป็นเรื่องสัมพัทธ์นะ มันคือการ “บาลานซ์” ระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนต่างหาก บางที… การที่เรากล้าเสี่ยงบ้างนิดหน่อย อาจจะทำให้ชีวิต “มีสีสัน” มากขึ้นก็ได้ ใครจะรู้?
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ:
- อย่าลืมว่า “เงินเฟ้อ” คือศัตรูตัวฉกาจของการลงทุนที่ปลอดภัย เพราะมันจะกัดกินมูลค่าเงินของเราไปเรื่อยๆ
- การกระจายความเสี่ยง (diversification) คือ “เพื่อนที่ดีที่สุด” ของนักลงทุนทุกคน อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว!
- “ความรู้” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ลงทุนในความรู้ก่อนลงทุนในอะไรอย่างอื่นเสมอ
แล้วทำไมต้องลงทุน?
- เพราะ “เวลา” คือทรัพยากรที่มีจำกัด และเงินก็เช่นกัน การลงทุนคือการ “บริหาร” เวลาและเงินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เรามีอิสระทางการเงินในอนาคต (อันนี้เป็นปรัชญาส่วนตัวของผมนะ)
ลงทุนกับตัวเอง มีอะไรบ้าง
กลางดึกแบบนี้เนอะ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหมด เรื่องลงทุนกับตัวเองนี่ก็ จริง ๆ มันสำคัญนะ แต่บางทีก็รู้สึกเหนื่อย เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบเลย
-
ความรู้: เรียนออนไลน์ไปก็ดีนะ ปีนี้ลงเรียนเขียนโปรแกรม อยากได้งานใหม่ แต่รู้สึกว่าตัวเองแก่ไปแล้วมั้ง จะเรียนทันคนอื่นไหมเนี่ย ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ กดดันจัง
-
สุขภาพ: นี่ก็อีก ควรออกกำลังกาย แต่ก็ขี้เกียจ อ้วนขึ้นเยอะเลย ปีนี้ตั้งใจจะไปตรวจสุขภาพ แต่ยังไม่มีเวลาเลย กลัวเจอโรคอะไรสักอย่าง แค่คิดก็เครียดแล้ว
-
ความชอบ: เคยชอบวาดรูปนะ สมัยเรียน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้วาดเลย คิดถึงนะ อยากกลับไปวาดอีก อาจจะหาคลาสเรียนดู แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง งบประมาณก็จำกัดอีก
-
ความสัมพันธ์: กับครอบครัวนะ รู้สึกว่าห่างเหินไป ช่วงนี้ก็งานเยอะ ไม่ค่อยได้คุยกันเลย ปีนี้ตั้งใจจะพาครอบครัวไปเที่ยว แต่ยังหาเวลาไม่ได้สักที กลัวจะเสียใจภายหลัง
-
ท่องเที่ยว: จริงๆอยากไปทะเลนะ พักผ่อนสมอง แต่เงินไม่ค่อยจะมี คิดแล้วก็เซ็ง ปีนี้คงไปได้แค่ใกล้ๆบ้านแหละ แค่ได้เปลี่ยนบรรยากาศก็โอเคแล้ว
เหนื่อยจัง คิดมากไปหรือเปล่า แค่คิดถึงอนาคตก็รู้สึกหนักหน่วง แต่ก็ต้องสู้ต่อไปแหละเนอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีกแล้ว
ลงทุนอะไรดี ความเสี่ยงน้อย 2567
ลงทุนอะไรดี ปี 2567? ถ้าเน้นความเสี่ยงต่ำและลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน SSF ต้องดูหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่ต้องวิเคราะห์ผลตอบแทนย้อนหลังและนโยบายการลงทุนปัจจุบัน ความเสี่ยงต่ำไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยงเลยนะ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง การกระจายพอร์ตจึงสำคัญเสมอ เหมือนชีวิตที่ไม่ควรวางเดิมพันกับสิ่งเดียว ต้องบาลานซ์ให้ดี
-
SCB S&P 500 SSF: ลงทุนใน S&P 500 ถือเป็นการกระจายการลงทุนในหุ้น blue-chip ของสหรัฐฯ ลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความผันผวนตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต้องศึกษารายละเอียดค่าธรรมเนียมและผลการดำเนินงานล่าสุดก่อนตัดสินใจ ปีนี้ผมเองก็สนใจกองทุนประเภทนี้เหมือนกัน เพราะมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีศักยภาพ แต่ต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด อย่าลืมดูค่าธรรมเนียมด้วยนะครับ บางกองทุนค่าธรรมเนียมสูงจนกินกำไร ที่สำคัญ ผลตอบแทนที่ผ่านมาไม่ใช่ตัวชี้วัดอนาคตเสมอไป
-
พิจารณาปัจจัยอื่นๆ: นอกจาก SCB S&P 500 SSF ควรศึกษาเปรียบเทียบกองทุน SSF อื่นๆ ด้วย ดูนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม ผลประกอบการย้อนหลัง และความเสี่ยงที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน อย่ามองแค่ชื่อเสียง แต่ต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยงและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง อย่าลงทุนเกินตัว ลงทุนเท่าที่รับความเสี่ยงได้
-
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนลงทุนเป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงๆ แต่เพียงแค่ขอคำแนะนำเบื้องต้นก็พอ ช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้น และตรงกับเป้าหมายการลงทุนของเรา ผมเคยทำแบบนี้ และได้ความรู้เยอะมาก ช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นจริงๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม (ปี 2567): ควรตรวจสอบข้อมูลผลการดำเนินงานล่าสุดของกองทุน SSF จากแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ เช่น เว็บไซต์ของบริษัทจัดการกองทุน หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด เพราะตลาดการลงทุนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ข้อมูลที่ได้ในปีนี้ อาจไม่เหมือนกับข้อมูลปีที่แล้ว อย่าลืมนะครับ
ขายอะไรดีลงทุนน้อยกำไรเยอะ
ปี 2024 ธุรกิจทุนน้อย กำไรสูง ต้องคิดให้รอบคอบ
-
ของออนไลน์: ตลาดแข่งขันสูง ต้องมีเอกลักษณ์ กลยุทธ์การตลาดเด็ดขาด ต้นทุนโฆษณาสูง กำไรไม่แน่นอน
-
ของในหมู่บ้าน: ศึกษาความต้องการชุมชนก่อน สินค้าจำเป็นประจำวัน ของใช้ในครัวเรือน หรือบริการซ่อมเล็กๆน้อยๆ กำไรค่อยเป็นค่อยไป แต่เสถียร ปีนี้เห็นร้านซ่อมมือถือบูมในต่างจังหวัด
-
อาหารตามสั่ง: สูตรเด็ด รสชาติโดนใจ ทำเลสำคัญ ต้นทุนวัตถุดิบ การจัดการขยะ ภาษี ต้องคิดให้ครบถ้วน แข่งขันสูง
-
เสื้อผ้า: แฟชั่นเปลี่ยนเร็ว ต้องรู้จักจับเทรนด์ สินค้าคุณภาพดี ราคาเหมาะสม หรือเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น เสื้อผ้าเด็ก สินค้ามือสอง
-
ตลาดนัด: สินค้าไม่ซ้ำใคร ต้นทุนต่ำ กำไรดี แต่เหนื่อย ต้องอดทน ขายดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับทำเล และการตลาดแบบปากต่อปาก
-
เครื่องสำอาง: ความรู้เรื่องผิวพรรณ การเลือกสินค้าคุณภาพ ความปลอดภัย หาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การตลาดออนไลน์สำคัญ สินค้าแบรนด์ตัวเอง อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
-
กาแฟ ชานม: รสชาติ ความสะอาด ทำเล การตกแต่งร้าน ต้นทุนวัตถุดิบ เครื่องดื่มต้องมีเอกลักษณ์ การแข่งขันสูงมาก
ลงทุนน้อย กำไรเยอะ เป็นความฝัน แต่ความเป็นจริง ต้องทำงานหนัก ศึกษาตลาด วางแผน และอดทน ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ชีวิตคือการลงทุนเสี่ยง
ขายอะไร ที่คน ต้องซื้อซ้ำ
ของที่คนต้องซื้อซ้ำ? อืม… มันก็วนๆ อยู่กับของที่ “หมดได้” นี่แหละ หลักการง่ายๆ เลย
-
ของใช้ส่วนตัว: สบู่, ยาสีฟัน (ใครไม่แปรงฟันบ้าง?), แชมพู (ผมมันแล้วใครจะทน), ครีมนวด (ผมเสียก็ต้องบำรุง), แปรงสีฟัน (3 เดือนเปลี่ยนทีนะ) พวกนี้มัน จำเป็น ยังไงก็ต้องซื้อ
-
ของใช้ในบ้าน: ผงซักฟอก, น้ำยาปรับผ้านุ่ม, น้ำยาล้างจาน…ชีวิตมันต้องสะอาดอ่ะนะ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้หรอก
-
ของกินของใช้จุกจิก: ทิชชู่เปียก, สำลี…บางทีก็คิดนะว่าเราใช้เยอะไปรึเปล่า แต่ก็ขาดไม่ได้อยู่ดี
ทำไมของพวกนี้ขายดี? เพราะมันคือ “วงจร” ไง ใช้หมดก็ต้องซื้อใหม่ ไม่มีใครใช้สบู่ก้อนเดียวได้ตลอดชีวิตหรอก (มั้ง?)
แล้วถ้าอยากทำธุรกิจ? ร้านของชำก็เป็นไอเดียที่ดีนะ ถ้าทำเลดีๆ คนก็เดินเข้าตลอดแหละ แต่ต้องบริหารจัดการดีๆ นะ ของพวกนี้มันกำไรน้อย ต้องเน้นปริมาณ
เพิ่มเติม:
- จริง ๆ แล้ว “ความจำเป็น” มันก็สร้างได้นะ ลองดูพวก subscription box สิ ส่งของใช้ประจำเดือนให้ถึงบ้าน คนก็ซื้อซ้ำไปเรื่อยๆ
- ตลาดเครื่องสำอางก็เข้าข่ายนี้นะ แต่ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย เพราะมันมีหลายแบรนด์ หลายสูตร คนเลือกเยอะ
- อย่าลืมเรื่อง “ความสะดวก” ถ้าเราขายของที่หาซื้อง่ายๆ คนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อจากเราเสมอไป ต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น
- ช่วงนี้คนใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลองขายของใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดูสิ อาจจะขายดีก็ได้นะ (แต่ต้องจริงใจนะ)
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต