HBsAg Tube สีอะไร

12 การดู

ข้อมูลแนะนำ:

เจาะเลือดตรวจ HBsAg, HBsAb และ VDRL ด้วยหลอดเก็บเลือดจุกสีแดง ปริมาณ 5-10 มล. แต่ละรายการตรวจมีวิธีวิเคราะห์และระยะเวลารอผลแตกต่างกัน: HBsAg (ELISA, 45 นาที), HBsAb (ECLIA, 45 นาที) และ VDRL (RPR, 30 นาที) ตรวจสอบรหัสรายการและค่าบริการก่อนทำการตรวจ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

หลอดเก็บเลือดสีอะไร สำหรับตรวจ HBsAg? ความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุม

คำถามที่พบเจอบ่อยเกี่ยวกับการตรวจหาแอนติเจนของไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) คือการเลือกใช้หลอดเก็บเลือดชนิดใด ข้อมูลที่ว่า “เจาะเลือดตรวจ HBsAg…ด้วยหลอดเก็บเลือดจุกสีแดง” นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำแนะนำ และอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ เนื่องจากหลอดเก็บเลือดสีแดงมีหลายประเภท บทความนี้จะชี้แจงข้อสงสัยนี้ให้กระจ่างขึ้น

ความจริงแล้ว หลอดเก็บเลือดที่ใช้ตรวจ HBsAg ไม่ได้จำกัดเฉพาะสีแดง สีของจุกหลอดเก็บเลือดนั้นบ่งบอกถึงสารกันเลือดแข็ง (anticoagulant) หรือสารเพิ่มปริมาตร (additive) ที่บรรจุอยู่ภายใน การเลือกใช้หลอดที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งในกรณีของ HBsAg วิธีการตรวจที่นิยมใช้คือ ELISA (Enzyme-Linked Immunosorbent Assay) และวิธีการนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้สารกันเลือดแข็ง

ดังนั้น หลอดเก็บเลือดที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ HBsAg ด้วยวิธี ELISA คือ หลอดเก็บเลือดที่มีจุกสีแดงแบบไม่มีสารกันเลือดแข็ง หรือที่เรียกว่า serum tube หลอดชนิดนี้จะปล่อยให้เลือดแข็งตัวเองตามธรรมชาติ จากนั้นจะแยกเซรั่ม (serum) ซึ่งเป็นส่วนของเลือดที่ปราศจากเซลล์เม็ดเลือด ไปทำการตรวจวิเคราะห์ต่อไป การใช้หลอด serum tube ช่วยให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำยิ่งขึ้น เพราะไม่มีสารเคมีที่อาจรบกวนกระบวนการตรวจ

อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลอ้างอิงระบุว่าใช้หลอดเก็บเลือดจุกสีแดง ควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางห้องปฏิบัติการที่ทำการตรวจ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นหลอด serum tube จริงๆ เนื่องจากหลอดสีแดงบางชนิดอาจมีสารเพิ่มปริมาตรอื่นๆ ที่อาจไม่เหมาะสมกับการตรวจ HBsAg

สรุป: แม้ข้อมูลทั่วไปจะระบุว่าใช้หลอดเก็บเลือดจุกสีแดง แต่ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็น หลอด serum tube (หลอดจุกสีแดงไม่มีสารกันเลือดแข็ง) เพื่อให้ได้ผลการตรวจ HBsAg ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ หากมีข้อสงสัย ควรสอบถามทางห้องปฏิบัติการโดยตรงก่อนทำการตรวจเลือดเสมอ เพื่อความแม่นยำและปลอดภัยในการตรวจวินิจฉัย

บทความนี้มุ่งเน้นให้ความเข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุม และไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สำหรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล