กลุ่มอาการคริดูชาเป็นยังไง

13 การดู

กลุ่มอาการ Cri du chat (เสียงร้องแมว) นอกจากเสียงร้องแหลมสูงคล้ายเสียงแมวแล้ว ยังอาจพบอาการใบหน้าผิดรูป เช่น คิ้วบาง ตาห่าง ศีรษะเล็ก และหูตั้ง เด็กอาจมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา โดยความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กลุ่มอาการคริดูชา (Cri du Chat Syndrome) หรือกลุ่มอาการเสียงร้องแมว เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ค่อนข้างน้อย เกิดจากการขาดหายไปของส่วนปลายของโครโมโซมคู่ที่ 5 ชื่อของโรคนี้มาจากเสียงร้องแหลมสูงของทารกที่คล้ายกับเสียงแมวร้อง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่มักพบในช่วงแรกเกิดและวัยทารก อย่างไรก็ตาม เสียงร้องนี้มักจะจางหายไปเมื่อเด็กโตขึ้น

นอกเหนือจากเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว กลุ่มอาการคริดูชายังมีลักษณะเฉพาะทางกายภาพอื่นๆ อีกหลายประการ ซึ่งความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะทางกายภาพที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • ใบหน้าผิดรูป: อาจมีรูปหน้ากลม คางเล็ก ปากกว้าง ร่องปากแคบ จมูกแบน และหว่างคิ้วกว้าง
  • ความผิดปกติของดวงตา: เช่น ตาห่าง (Hypertelorism) ตาเหล่ หนังตาตก (Ptosis) และม่านตา (Iris) มีสีสว่างกว่าปกติ
  • หูต่ำและผิดรูป: ตำแหน่งของหูอาจอยู่ต่ำกว่าปกติ และมีรูปร่างผิดปกติ
  • ศีรษะเล็ก (Microcephaly): ขนาดของศีรษะเล็กกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Hypotonia): ส่งผลให้ทารกมีปัญหาในการดูดนมและกลืนอาหาร และอาจมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวล่าช้า
  • พัฒนาการล่าช้า: ทั้งพัฒนาการทางร่างกาย เช่น การคลาน การเดิน และพัฒนาการทางสติปัญญา เช่น การพูด การเรียนรู้ และการเข้าสังคม
  • ความบกพร่องทางสติปัญญา: ความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางรายอาจมีความบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีความบกพร่องรุนแรง
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร: เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ กรดไหลย้อน และท้องผูก

การวินิจฉัยกลุ่มอาการคริดูชาทำได้โดยการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงการขาดหายไปของส่วนปลายของโครโมโซมคู่ที่ 5

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การรักษามุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ ส่งเสริมพัฒนาการ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เช่น กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การฝึกพูด และการดูแลด้านโภชนาการ

การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมแก่ครอบครัวที่มีบุตรเป็นกลุ่มอาการคริดูชามีความสำคัญ เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับโรค ความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นโรค และทางเลือกในการวางแผนครอบครัวในอนาคต