อาการของภาวะ SIADH มีอะไรบ้าง

15 การดู

ภาวะ SIADH ส่งผลให้ร่างกายมีน้ำเกิน ทำให้โซเดียมในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการบาดเจ็บทางสมองที่กระทบต่อไฮโปทาลามัส อาการที่อาจเกิดขึ้นคือความสับสน ซึมลง หรือแม้กระทั่งชัก ซึ่งแตกต่างจากอาการคลื่นไส้และตะคริวที่พบได้ทั่วไป

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ภาวะ SIADH: เมื่อร่างกายมีน้ำมากเกินไปจนเป็นอันตราย

ภาวะ SIADH หรือ Syndrome of Inappropriate Antidiuretic Hormone secretion เป็นภาวะที่ร่างกายสร้างฮอร์โมน antidiuretic hormone (ADH) หรือ vasopressin มากเกินไปอย่างไม่เหมาะสม ฮอร์โมน ADH มีหน้าที่ควบคุมการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดที่ไต เมื่อมี ADH มากเกินไป ไตจะดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายมากเกินความจำเป็น ทำให้ร่างกายมีน้ำมากเกินไป (hypervolemia) และโซเดียมในเลือดต่ำ (hyponatremia) ภาวะนี้แตกต่างจากการดื่มน้ำมากเกินไป เพราะแม้จะลดการดื่มน้ำ ร่างกายก็ยังคงมีน้ำมากเกินไปอยู่ดี โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองบริเวณไฮโปทาลามัส ซึ่งเป็นจุดควบคุมการหลั่ง ADH มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะ SIADH

อาการของภาวะ SIADH นั้นมีความหลากหลายและขึ้นอยู่กับระดับโซเดียมในเลือด อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • ความผิดปกติทางระบบประสาท: เนื่องจากสมองบวมจากน้ำส่วนเกิน อาการที่พบได้คือ ความสับสน มึนงง ง่วงซึม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ในกรณีที่รุนแรงอาจมีอาการชัก หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ ความรุนแรงของอาการจะสัมพันธ์กับระดับโซเดียมในเลือด ยิ่งโซเดียมต่ำลง อาการก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น

  • อาการทางกายภาพอื่นๆ: นอกจากอาการทางระบบประสาทแล้ว อาจพบอาการอื่นๆ เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บวมตามมือและเท้า (ในบางราย) แต่ไม่จำเป็นต้องมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดเสมอไป เนื่องจากน้ำส่วนเกินกระจายไปทั่วร่างกาย

สิ่งสำคัญ: อาการเหล่านี้คล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ การวินิจฉัยภาวะ SIADH จึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับโซเดียมและวัดความเข้มข้นของสารต่างๆ ในปัสสาวะ แพทย์จะประเมินอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และผลการตรวจต่างๆ เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมระดับโซเดียมในเลือดให้กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งอาจรวมถึงการจำกัดการดื่มน้ำ การใช้ยาขับปัสสาวะ หรือในบางกรณีอาจต้องใช้ยาเพื่อควบคุมการหลั่ง ADH

หากคุณมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที การวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ