อาการแบบไหนถึงเข้าห้องฉุกเฉินได้

13 การดู

ตัวอย่างอาการที่เข้าข่ายฉุกเฉินร้ายแรง เช่น หมดสติ ไม่หายใจ หัวใจหยุดเต้น ทางเดินหายใจอุดตัน มีภาวะหายใจล้มเหลว ช็อกจากการเสียเลือดหรือของเหลว และระดับความรู้สึกตัวที่เปลี่ยนแปลง

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เมื่อไหร่ที่ “ฉุกเฉิน” ต้อง “ฉุกเฉิน”: สัญญาณเตือนภัยที่คุณต้องรู้ก่อนสายเกินแก้

ห้องฉุกเฉิน… สถานที่ที่เรามักไม่อยากไป แต่เมื่อจำเป็น มันคือ “เส้นชีวิต” ที่ช่วยต่อลมหายใจให้เราและคนที่เรารัก แต่คำถามคือ “เมื่อไหร่” ที่เราควรตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ห้องฉุกเฉินโดยไม่ลังเล? การเข้าใจอาการที่บ่งบอกถึงภาวะฉุกเฉินร้ายแรงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความล่าช้าแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน

หลายครั้งที่เราอาจสับสนว่าอาการที่เป็นอยู่ “ร้ายแรง” ถึงขั้นต้องไปห้องฉุกเฉินหรือไม่ ความจริงแล้ว การประเมินอาการเบื้องต้นด้วยตัวเองอย่างถูกต้องแม่นยำ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที และอาจช่วยชีวิตใครบางคนได้

อาการ “วิกฤตชีวิต” ที่ต้องรีบไปห้องฉุกเฉินโดยด่วน:

  • หมดสติ: การหมดสติคือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าสมองขาดออกซิเจนหรือมีปัญหาในการทำงานอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะมีสาเหตุใดก็ตาม ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
  • ไม่หายใจ หรือหายใจลำบากอย่างรุนแรง: หากมีอาการหายใจขัด หายใจหอบเหนื่อย พูดเป็นคำๆ ไม่ได้ หรือมีเสียงหวีดขณะหายใจ นั่นอาจหมายถึงทางเดินหายใจถูกอุดตัน หรือมีภาวะหายใจล้มเหลว ควรรีบให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น (หากทราบวิธี) และเรียกรถพยาบาลทันที
  • เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากร้าวไปที่แขน ไหล่ หรือกราม): อาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลันอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือด (Heart Attack) ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
  • หัวใจหยุดเต้น: หากพบว่าผู้ป่วยไม่มีชีพจร ไม่ตอบสนอง ควรรีบทำการปั๊มหัวใจ (CPR) และเรียกรถพยาบาลทันที (หากได้รับการฝึกฝนในการทำ CPR)
  • มีเลือดออกมากผิดปกติ: การเสียเลือดปริมาณมากอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่ภาวะช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • แขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก: อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งต้องได้รับการรักษาภายในเวลาที่กำหนด (Golden Period) เพื่อลดความเสียหายของสมอง
  • ชัก: การชักโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการชักครั้งแรก หรือชักต่อเนื่องนานเกิน 5 นาที ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล
  • ได้รับสารพิษ หรือทานยาเกินขนาด: ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล และนำยาหรือสารพิษที่สงสัยไปด้วย (หากทำได้)
  • มีภาวะแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis): อาการเช่น ผื่นขึ้นทั่วตัว บวมที่ใบหน้าและลำคอ หายใจลำบาก ควรรีบฉีดยาแก้แพ้ (หากมี) และเรียกรถพยาบาลทันที
  • การเปลี่ยนแปลงของสติสัมปชัญญะอย่างรวดเร็ว: เช่น สับสน ซึมลง ไม่รู้สึกตัว หรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติอย่างมาก

สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน:

  1. ตั้งสติ: พยายามควบคุมอารมณ์และความวิตกกังวล เพื่อให้สามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
  2. โทร 1669: แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานที่เกิดเหตุ และอาการของผู้ป่วยให้ละเอียดที่สุด
  3. ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น: หากมีความรู้และทักษะในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ทำการช่วยเหลือตามความเหมาะสม เช่น การปั๊มหัวใจ การห้ามเลือด หรือการประคองผู้ป่วย
  4. รอรถพยาบาล: อยู่กับผู้ป่วยจนกว่าทีมแพทย์จะมาถึง และให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นแก่ทีมแพทย์

ข้อควรจำ:

  • อาการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง หากคุณไม่แน่ใจว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นเข้าข่ายฉุกเฉินหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือโทร 1669 เพื่อขอคำแนะนำ
  • การตัดสินใจไปห้องฉุกเฉิน ควรพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
  • การตระหนักถึงสัญญาณเตือนภัย และการตัดสินใจที่รวดเร็ว จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต และลดความรุนแรงของผลกระทบจากภาวะฉุกเฉิน

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ