โรค SLE ตรวจเลือดตัวไหนบ้าง
การตรวจเลือดสำหรับโรค SLE (โรคลูปัส) มักรวมถึงการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเพื่อประเมินจำนวนและชนิดของเม็ดเลือด รวมถึงการตรวจค่าอักเสบในร่างกาย เช่น ESR และ CRP เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงและการตอบสนองต่อการรักษา
ไขปริศนาเลือด: ตรวจอะไรบ้างจึงจะรู้ว่าเป็นโรคลูปัส (SLE)?
โรคลูปัส หรือ Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคภูมิต้านตนเองเรื้อรังที่ซับซ้อน การวินิจฉัยโรคนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย อาการของโรค SLE นั้นหลากหลายและคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ทำให้การตรวจเลือดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยแพทย์ยืนยันการวินิจฉัย แต่การตรวจเลือดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัย SLE ได้อย่างเด็ดขาด แพทย์จะต้องพิจารณาอาการ ประวัติทางการแพทย์ และผลการตรวจอื่นๆ ร่วมด้วย
การตรวจเลือดสำหรับผู้ป่วยสงสัยว่าเป็นโรค SLE มักประกอบด้วยการตรวจหลายอย่าง โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้:
1. การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count – CBC): การตรวจนี้เป็นการตรวจพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อประเมินจำนวนและสัดส่วนของเม็ดเลือดต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ในผู้ป่วย SLE อาจพบความผิดปกติ เช่น จำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ (Anemia) จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำหรือสูง (Leukopenia หรือ Leukocytosis) และจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) ซึ่งบ่งบอกถึงความรุนแรงของโรคและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ
2. การตรวจค่าการอักเสบ: การตรวจนี้ช่วยประเมินระดับการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของโรค SLE ตัวอย่างการตรวจ ได้แก่:
- อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte Sedimentation Rate – ESR): ค่า ESR ที่สูงบ่งชี้ถึงการอักเสบในร่างกาย แต่ไม่จำเพาะต่อโรค SLE อาจสูงได้ในหลายโรค
- โปรตีนซีรีแอคทีฟ (C-reactive protein – CRP): เช่นเดียวกับ ESR CRP เป็นตัวบ่งชี้การอักเสบ แต่ไม่จำเพาะต่อโรค SLE
3. การตรวจแอนติบอดีเฉพาะโรค SLE: นี่คือการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัย SLE เนื่องจากตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อเซลล์และเนื้อเยื่อของตัวเอง แอนติบอดีเหล่านี้มีหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยและมีความสำคัญในการวินิจฉัย ได้แก่:
- แอนติบอดีแอนตินิวเคลียร์ (antinuclear antibody – ANA): เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ผู้ป่วย SLE ส่วนใหญ่จะมี ANA แต่ ANA บวกไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเป็น SLE เพราะอาจพบได้ในโรคอื่นๆ ด้วย จึงต้องตรวจเพิ่มเติม
- แอนติบอดีต่อ DNA แบบคู่ (anti-double-stranded DNA – anti-dsDNA): มีความจำเพาะต่อโรค SLE มากกว่า ANA การพบ anti-dsDNA บวกบ่งชี้ความเป็นไปได้สูงที่จะเป็น SLE และสามารถใช้ประเมินความรุนแรงของโรคได้
- แอนติบอดีต่อ Sm (anti-Sm): มีความจำเพาะต่อโรค SLE สูงมาก แต่พบในผู้ป่วย SLE เพียงส่วนน้อย
- แอนติบอดีต่อ phospholipid (antiphospholipid antibodies): เกี่ยวข้องกับการเกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วย SLE
4. การตรวจอื่นๆ: นอกจากนี้ แพทย์อาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจระดับคอมพลีเมนต์ (complement levels) การตรวจปัสสาวะ การตรวจการทำงานของไตและตับ และการตรวจอื่นๆ ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค
สรุป: การตรวจเลือดสำหรับโรค SLE เป็นการตรวจหลายอย่างที่ต้องพิจารณาควบคู่กัน ไม่มีการตรวจเลือดใดเพียงอย่างเดียวที่สามารถวินิจฉัย SLE ได้ ผลการตรวจเลือดจะต้องนำมาประกอบกับอาการ ประวัติทางการแพทย์ และการตรวจอื่นๆ เพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิต้านตนเองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
#ตรวจเลือด#เอาไว้#โรค Sleข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต