เครื่องช็อคเวฟ มีกี่ประเภท

คลื่นกระแทก..ช็อคเวฟบำบัด: ESWT vs. RSWT เจาะลึกทุกมิติของการรักษาด้วยคลื่นเสียง

การบำบัดด้วยคลื่นกระแทก หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ช็อคเวฟบำบัด” (Shockwave Therapy) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะในการรักษาอาการปวดและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ โดยเทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นเสียงความเข้มข้นสูงในการกระตุ้นกระบวนการรักษาตามธรรมชาติของร่างกาย แม้จะเรียกรวมๆ ว่า “ช็อคเวฟ” แต่แท้จริงแล้วเครื่องช็อคเวฟที่ใช้ในการบำบัดทางกายภาพแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ คือ ESWT และ RSWT ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้

ESWT (Extracorporeal Shock Wave Therapy): เจาะลึก..รักษาตรงจุด

ESWT หรือ Extracorporeal Shock Wave Therapy เป็นคลื่นกระแทกจากภายนอกร่างกาย โดดเด่นด้วยพลังงานสูงและความสามารถในการเจาะลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อได้มากกว่า 3.5 เซนติเมตร ทำให้สามารถรักษาอาการปวดเรื้อรังในบริเวณที่ลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ESWT มักใช้ในการรักษาอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ, ข้อศอกเทนนิส, หินปูนในไหล่ และอาการปวดเรื้อรังอื่นๆ คลื่น ESWT จะส่งพลังงานไปยังจุดที่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด, ลดการอักเสบ, กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และสลายพังผืด

RSWT (Radial Shock Wave Therapy): กระจายวงกว้าง..ฟื้นฟูทั่วถึง

RSWT หรือ Radial Shock Wave Therapy เป็นคลื่นกระแทกแบบกระจายรัศมี โดยพลังงานจะกระจายออกเป็นวงกว้าง มีระดับพลังงานที่ต่ำกว่า ESWT และเจาะลึกได้น้อยกว่า RSWT เหมาะสำหรับการรักษาอาการปวดตื้นๆ และครอบคลุมบริเวณกว้าง เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ, กล้ามเนื้อตึงตัว, จุดปวด (Trigger Point) และอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน การบำบัดด้วย RSWT ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต, ลดอาการปวด และกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อในบริเวณที่ได้รับการรักษา

ความถี่คลื่น: ปัจจัยสำคัญในการรักษา

ทั้ง ESWT และ RSWT ทำงานโดยใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1-35 เฮิร์ตซ์ ความถี่ของคลื่นเสียงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา แพทย์จะเลือกความถี่ที่เหมาะสมตามสภาพอาการและตำแหน่งของอาการปวด

สรุป

แม้ว่าทั้ง ESWT และ RSWT จะเป็นเทคโนโลยีคลื่นกระแทก แต่มีความแตกต่างกันในด้านพลังงาน ความลึกในการเจาะ และการประยุกต์ใช้ การเลือกใช้เครื่องช็อคเวฟประเภทใดขึ้นอยู่กับสภาพอาการของผู้ป่วย ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด