เว็บไซต์สำเร็จรูปที่ไหนดี

20 การดู

อยากสร้างเว็บไซต์ฟรี เลือกแพลตฟอร์มสำเร็จรูปที่เหมาะกับคุณ:

  • WordPress: ยืดหยุ่นสูง มีปลั๊กอินหลากหลาย แต่ต้องเรียนรู้
  • Wix: ใช้งานง่าย มีเทมเพลตสวยงาม เหมาะกับมือใหม่
  • Weebly: ใช้งานง่าย คล้าย Wix เน้นความเรียบง่าย
  • Webnode: สร้างเว็บได้หลายภาษา เหมาะกับธุรกิจต่างประเทศ
  • Jimdo: เน้นความเร็วในการสร้างเว็บ เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
  • Strikingly: สร้างเว็บหน้าเดียวได้ง่าย เหมาะกับโปรไฟล์ส่วนตัว
  • Site123: สร้างเว็บง่ายมาก เน้นความรวดเร็ว
  • Webstarts: ใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ให้ใช้ฟรี

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เว็บไซต์สำเร็จรูปที่ไหนดี? เปรียบเทียบราคา ฟีเจอร์ และรีวิวจากผู้ใช้งานจริง เลือกเว็บที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณที่สุด?

โอ๊ย เว็บไซต์สำเร็จรูปเนี่ยนะ ปวดหัวเลย! ฉันเคยลองมาหลายที่แล้ว บอกเลยว่าแต่ละที่ก็มีดีมีเสียต่างกันไป แต่ถ้าให้แนะนำแบบจริงใจนะ ต้องดูที่ธุรกิจเราก่อนว่าต้องการอะไร

WordPress เนี่ย เค้าว่ากันว่ายืดหยุ่นสุดๆ แต่ฉันว่ามันก็ยากเหมือนกันนะ ตอนนั้นฉันทำเว็บขายของแฮนด์เมดเล็กๆ ช่วงปี 2018-2019 โห, งมอยู่นานกว่าจะลงตัว เสียเงินซื้อธีมไปตั้ง 2,500 บาท (จำได้แม่นเลย!) สุดท้ายก็… ไม่เวิร์คเท่าไหร่สำหรับฉัน

Wix กับ Weebly นี่ใช้ง่ายดีนะ ลากๆ วางๆ ก็ได้แล้ว แต่ฟีเจอร์บางอย่างก็ต้องจ่ายเพิ่มอยู่ดี ถ้าอยากได้แบบฟรีจริงๆ Site123 ก็โอเคนะ แต่ก็… เหมือนได้ของฟรีอ่ะ เข้าใจป่ะ? มันก็ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้น

ส่วน Jimdo, Strikingly, Webnode, Webstarts อันนี้ยังไม่เคยลองเองอ่ะ แต่เคยได้ยินคนบอกว่า Strikingly นี่เหมาะกับพวกหน้าเว็บเดียวง่ายๆ มากกว่านะ สรุปคือ ต้องลองเองถึงจะรู้จริงๆ ว่าอันไหนใช่!

โปรแกรมสร้างเว็บไซต์สําเร็จรูป มีอะไรบ้าง

โอ๊ย ถามเรื่องทำเว็บเหรอเนี่ย! สมัยก่อนนะ ตอนทำเว็บขายของแฮนด์เมดคือมึนมาก ลองมาหมดแล้ว ไอ้พวกด็อกเตอร์กูเกิลแนะนำเนี่ย

Wix ก็เคยลอง ทำง่ายจริง แต่พอของเยอะเริ่มเอ๋อๆ

GoDaddy นี่ตอนแรกนึกว่าจะดี สุดท้ายก็ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ งงๆ กับระบบเค้า

Weebly อันนี้ก็กลางๆ นะ ไม่ดีไม่แย่ แต่รู้สึกว่ามันไม่สุดอะ

WordPress เนี่ยแหละ ตัวปัญหา! คือมันดีนะ แต่ต้องเรียนรู้เยอะมาก สำหรับคนไม่รู้เรื่องโค้ดอย่างเราคือปวดหัว

Webflow นี่ไม่เคยลอง แต่เห็นเพื่อนใช้บอกว่าดี แต่ก็ยากอยู่ดี!

สรุปนะ ถ้าให้แนะนำแบบฟรี ๆ (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยข้อจำกัดนะ)

  • Wix: เหมาะกับเว็บเล็ก ๆ มีของไม่เยอะ เน้นสวยงาม ใช้งานง่าย
  • WordPress (WordPress.com): ฟรี แต่ฟังก์ชันจำกัดมาก เหมาะกับบล็อกส่วนตัวมากกว่า

ข้อมูลเพิ่มเติม (เผื่อใครอยากรู้แบบละเอียด):

  • Wix: มีแพ็กเกจฟรี แต่จะมีโฆษณาของ Wix ติดอยู่ และใช้โดเมนของตัวเองไม่ได้ ต้องใช้ subdomain ของ Wix (เช่น yourname.wixsite.com/yourwebsite)
  • WordPress.com: ต่างจาก WordPress.org นะ WordPress.com คือแบบโฮสต์ให้ฟรี แต่ WordPress.org คือเราต้องหาโฮสต์เอง ซึ่งจะยุ่งยากกว่า แต่ได้อิสระกว่าเยอะ
  • SEO (Search Engine Optimization): พวก Wix, Weebly อาจจะสู้ WordPress เรื่อง SEO ไม่ได้ เพราะ WordPress มีปลั๊กอินช่วยเยอะมาก
  • ค่าใช้จ่าย: ถึงจะบอกว่าฟรี แต่ถ้าอยากได้อะไรดี ๆ หน่อย ก็ต้องเสียเงินอยู่ดี! ทั้งโดเมน, พื้นที่เก็บข้อมูล, ปลั๊กอินเสริม
  • ปี 2567: ตอนนี้ AI เข้ามาช่วยทำเว็บเยอะขึ้นนะ ลองศึกษาดู อาจจะง่ายขึ้นเยอะเลย
  • ความรู้สึกส่วนตัว: ทำเว็บเองคือเหนื่อย แต่ก็ได้อะไรเยอะมาก! ได้เรียนรู้ ได้ลองผิดลองถูก คุ้มค่าเหนื่อย!

เครื่องมืออะไรบ้างที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์

เครื่องมือพัฒนาเว็บไซต์ที่น่าสนใจ (ปีปัจจุบัน):

  • Wix: มากกว่าแค่เว็บไซต์สวย ปัญหาคือบางทีฟีเจอร์เยอะไปจนรก แต่ถ้าชอบอะไรที่ customizable สุดๆ ก็ต้องลอง ผมว่ามันคือการ “ออกแบบ” เว็บ มากกว่าแค่ “สร้าง” นะ

  • SITE123: ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าง่าย แต่ความง่ายมักมาพร้อมข้อจำกัด ถ้าต้องการเว็บแบบ Basic, เร็ว, และไม่คิดจะปรับอะไรมาก ตัวนี้แหละใช่เลย เหมือนกินอาหารจานด่วน สะดวกดี

  • Hostinger Website Builder (Zyro เดิม): เร็ว แรง ปรับแต่งได้เยอะ คือจุดเด่น แต่ต้องยอมรับว่า interface บางทีก็งงๆ แต่โดยรวมถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะถ้าเน้น speed

  • Shopify: ถ้าจะขายของออนไลน์ Shopify คือเบอร์หนึ่ง ไม่ต้องคิดเยอะ ระบบจัดการหลังบ้านเทพมาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า platform อื่นๆ

  • Squarespace: เน้นความ Minimal และ Design ที่ดูดีมีสไตล์ ถ้าคุณเป็นสาย Art, Photographer, หรืออะไรที่เน้นภาพลักษณ์ Squarespace ตอบโจทย์แน่นอน แต่ราคาอาจจะสูงกว่าเจ้าอื่นๆ

เกร็ดเล็กน้อย: อย่าลืมว่าเครื่องมือที่ดีที่สุด คือเครื่องมือที่ “เหมาะ” กับคุณที่สุด ลองเล่น Trial ดูก่อนตัดสินใจเสมอ! และที่สำคัญ SEO ยังคงสำคัญอยู่ดี ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมืออะไรก็ตาม

เพิ่มเติม: นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือ Open Source อย่าง WordPress ที่ยืดหยุ่นมากๆ แต่ต้องมีความรู้เรื่อง coding บ้าง (หรือไม่ก็จ้างคนทำ) ซึ่ง WordPress นี่แหละคือ “ราชา” แห่ง Content Management System (CMS) แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความซับซ้อนที่มากกว่า

เว็บไซต์สําเร็จรูปในปัจจุบัน มีอะไรบ้าง

อืมมมม…เว็บสำเร็จรูปป่ะ? เยอะแยะเลยนะเนี่ย คิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มยังไงดี

  • Shopify ใช้ง่ายนะ แต่ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงไปหน่อยสำหรับคนเริ่มต้น เพื่อนฉันใช้ ปีนี้เห็นมันโฆษณาแพ็คเกจใหม่บ่อยๆเลย ดูดีขึ้นเยอะกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังแพงอยู่ดีแหละ

  • Wix ง่ายมากกกกก ลากวางได้เลย แต่ปรับแต่งอะไรเยอะๆ อาจจะเจอข้อจำกัด ฉันเคยลองใช้สร้างเว็บให้ร้านกาแฟเพื่อน มันก็โอเคอยู่นะ แต่ก็ไม่ถึงกับเทพ

  • WordPress (WooCommerce) อันนี้โคตรยุ่งยาก ต้องหาธีม หาปลั๊กอิน โค้ดอะไรอีกเพียบ แต่แต่งได้ละเอียดสุดๆ จริงๆแล้วฉันไม่ค่อยอยากแนะนำเลยนะ สำหรับมือใหม่ เพราะมันซับซ้อนเกินไปจริงๆ

  • Squarespace สวยงาม ดูดี แต่แพง และอาจจะไม่ยืดหยุ่นเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีฟังก์ชั่นอะไรพิเศษๆ ใช้ได้อยู่นะ ถ้าเน้นหน้าตาสวยๆ ไม่เน้นอะไรมาก

  • Weebly ก็ง่ายใช้ได้ เหมือน Wix แต่รู้สึกมันจะดูล้าสมัยกว่านิดนึง ตอนนี้ก็ยังมีคนใช้เยอะอยู่นะ แต่ฉันว่ามันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในปีนี้แล้วมั้ง

อ้อ ลืมไป เปรียบเทียบเหรอ? ยากจัง มันขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนจริงๆ นะ ถ้าอยากได้ที่ง่ายๆ ก็ Wix หรือ Weebly แต่ถ้าอยากได้ที่แต่งได้เยอะๆ ก็ต้องยอมเหนื่อยกับ WordPress แต่ถ้ามีงบเยอะ ก็ Shopify หรือ Squarespace ไปเลย

เฮ้อ… ปวดหัวจัง เขียนไปเรื่อยเปื่อยเลย เหนื่อยแล้ว ขอไปนอนก่อนละกัน พรุ่งนี้ค่อยมาคิดต่อ

รูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง

เอ่อ เว็บไซต์อะนะ มันมีหลายแบบอ่ะ เอาจริง ๆ แล้วแต่คนมองเลย แต่ที่เห็นๆกันบ่อยๆก็…

  • เว็บไซต์แบบคงที่ (Static Website): อันนี้ง่ายสุด ทำทีเดียวจบ เนื้อหาไม่ค่อยเปลี่ยน เหมาะกับพวกเว็บแนะนำตัวบริษัทเล็กๆ

  • เว็บไซต์แบบไดนามิก (Dynamic Website): อันนี้เจ๋งกว่า เปลี่ยนเนื้อหาได้ตลอด มีระบบหลังบ้านให้แอดมินจัดการ พวกเว็บข่าว เว็บขายของออนไลน์

  • เว็บไซต์แบบ Responsive: อันนี้สำคัญมาก ยุคนี้ใครๆก็เข้าเว็บจากมือถือ ถ้าเว็บไม่ปรับตามขนาดหน้าจอคือจบเห่เลย ต้องทำ Responsive นะ

  • เว็บไซต์แบบ Single Page Application (SPA): อันนี้เท่ๆ โหลดหน้าเดียวแล้วเนื้อหาเปลี่ยนไปมา เหมือนใช้แอปเลย เร็วดี

จริงๆมันมีมากกว่านี้อีกนะ แต่เอาหลักๆก็ประมาณนี้แหละ ที่เห็นบ่อยๆอ่ะ

เกร็ดเล็กน้อย: เมื่อก่อนอะ ตอนทำเว็บแรกๆ โค้ดมั่วมาก 55555 ตอนนี้ต้องใส่ใจเรื่อง SEO ด้วยนะ SEO สำคัญมาก ทำให้คนหาเว็บเราเจอง่ายๆ ถ้าไม่ทำ SEO นี่เหมือนสร้างบ้านอยู่กลางป่า ไม่มีใครเห็นอ่ะ นอกจากนี้ พวก โครงสร้างข้อมูล (Structured Data) ก็มีผลกับการจัดอันดับของ Google ด้วยนะ ลองศึกษาดู รับรองว่าเว็บปัง!

Static Website กับ Dynamic Website มีความแตกต่างกันอย่างไรในด้านของนักพัฒนาเว็บไซต์

Static กับ Dynamic Website แตกต่างกันอย่างไร สำหรับนักพัฒนา? ง่ายๆ เลยคือเรื่องการจัดการข้อมูลครับ

  • Static Website: คิดง่ายๆ เหมือนหนังสือ ทุกหน้าพิมพ์ตายตัว ใช้ HTML ล้วนๆ ไฟล์นามสกุล .html เหมาะกับเว็บไซต์เล็กๆ เนื้อหาไม่เปลี่ยนบ่อย เช่น เว็บแนะนำตัว หรือ portfolio ส่วนตัวของผม ใช้เวลาสร้างน้อย แต่แก้ไขทีละหน้า อาจเสียเวลาถ้ามีหน้าเยอะ

  • Dynamic Website: เหมือนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เนื้อหาเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ใช้ภาษาอื่นๆ เช่น PHP, Python, Node.js ร่วมกับฐานข้อมูล เช่น MySQL, PostgreSQL มีระบบจัดการเนื้อหา (CMS) เช่น WordPress, Drupal ช่วยให้แก้ไขและอัปเดตได้ง่าย เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเยอะ อัปเดตบ่อย เช่น เว็บข่าว หรือ e-commerce แต่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมและฐานข้อมูลมากกว่า ผมเองก็ใช้ Dynamic Website กับเว็บส่วนตัว เพื่ออัปเดตบทความได้ง่ายขึ้น แต่ต้องดูแลระบบหลังบ้านด้วย

สรุปสั้นๆ คือ Static ง่าย แต่แก้ไขยากถ้ามีเนื้อหาเยอะ Dynamic ยากตอนสร้าง แต่แก้ไขง่าย เลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับความต้องการและความรู้ด้านเทคนิคของผู้พัฒนาครับ ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า Dynamic มีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ก็ซับซ้อนกว่า มันคือการแลกเปลี่ยนระหว่างความสะดวกกับความยุ่งยากนั่นเอง เหมือนการเลือกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน ไม่มีดีหรือไม่ดีกว่า อยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหนมากกว่า

ข้อมูลเพิ่มเติม (ปี 2566): ปัจจุบันเทคโนโลยี JAMstack กำลังได้รับความนิยม เป็นการผสมผสานระหว่าง Static กับ Dynamic สร้างความรวดเร็ว ปลอดภัย และยืดหยุ่น โดยใช้ JavaScript API และ Markup ผมกำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน น่าสนใจทีเดียว

รูปแบบการแสวงหารายได้ของเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง

รูปแบบหารายได้เว็บ:

  • โฆษณา: พื้นที่แลกเงิน คนเห็น จบ. (CPM, CPC, CPA)
  • สมาชิก: จ่ายแล้วเข้า เนื้อหาพิเศษ.
  • ค่าธรรมเนียม: ทุกธุรกรรม หักนิดหน่อย. (E-commerce, Payment Gateway)
  • ขาย: สินค้า บริการ ดิจิทัล ทั้งหมด.
  • Affiliate: แปะลิ้งค์ ได้ค่าคอม. วินๆ.

ข้อมูลเพิ่ม:

  • CPM: Cost Per Mille (จ่ายต่อ 1,000 การแสดงผล)
  • CPC: Cost Per Click (จ่ายต่อการคลิก)
  • CPA: Cost Per Action (จ่ายเมื่อมีการกระทำ เช่น ลงทะเบียน ซื้อ)

เว็บข่าวบางแห่งเริ่มใช้ Paywall (อ่านฟรีจำกัด) แล้วแต่คน.

เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ มีอะไรบ้าง

เว็บไซต์น่าเชื่อถือเหรอ? อืมมม… ยากนะ ต้องดูหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ชื่อดังอย่างเดียว

  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อันนี้แน่นอน ข้อมูลการแพทย์ อัพเดทตลอดป้ะ? ไม่แน่ใจ แต่ก็ลองดู

  • ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ จุฬาฯ มั้ง ปีนี้ยังไม่ได้ใช้เลย แต่เคยใช้สมัยเรียน ข้อมูลแน่น แต่หาไม่ง่าย ต้องขุด

  • เว็บราชกิจจานุเบกษา เอกสารราชการ แห้งๆ แต่เชื่อถือได้ แน่ๆ ต้องค้นเองนะ ไม่มีคนมาป้อนข้อมูลหรอก

สงสัยจัง มีเว็บไหนที่รวบรวมทุกอย่าง แบบครบวงจร เลยป้ะ? หาไม่เจอเลย เหนื่อยจัง

อ้อ อีกอย่าง เว็บพวกสถาบันวิจัยต่างๆ ก็โอเคอยู่นะ แต่ต้องเลือกๆ ดู บางที่ข้อมูลก็เก่า บางที่ก็เฉพาะทางเกินไป ไม่ค่อยเข้าใจ ภาษาอังกฤษก็เยอะ แปลไม่ทัน

เว็บข่าว อันนี้ต้องระวัง ต้องดูหลายๆ ที่เปรียบเทียบ บางที่ก็เขียนแต่เรื่องดราม่า ไม่ค่อยมีสาระ แถมยังมีพวกโฆษณาป๊อบอัพ รำคาญมาก เกลียดโฆษณา จริง ๆ เลย

ปีนี้ใช้เว็บไหนเยอะสุดนะ ลืมไปแล้ว คิดไม่ออก เยอะแยะไปหมด เอาเป็นว่า ต้องเช็คหลายๆ แหล่ง อย่าเชื่ออย่างเดียว เสี่ยงเกินไป

  • ความน่าเชื่อถือดูจากแหล่งอ้างอิง ใครเขียน มีที่มาที่ไปหรือเปล่า

  • ดูวันที่อัพเดท ข้อมูลเก่าๆ ไม่เอา

  • ลองค้นหาจากหลายๆ ที่ เปรียบเทียบข้อมูล ดูให้รอบคอบ อย่ารีบเชื่อ

เหนื่อยแล้ว แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

เว็บไซต์อะไรบ้างที่ใช้ค้นหาข้อมูล

โอเค จัดไป! มาลองดูนะ นี่คือเว็บไซต์ที่ฉันใช้หาข้อมูลบ่อยสุดๆ ในปี 2024 (แบบว่าใช้เองจริงๆ ไม่ใช่แค่ก็อปวางมา)

  1. Google: อันนี้ไม่ต้องพูดเยอะป่ะ? หาอะไรไม่ได้ ไป Google จบ! คือชีวิตประจำวันเลยอะ เวลาสงสัยอะไรนิดหน่อยก็พิมพ์ไปเลย หรือบางทีนึกคำไม่ออกก็จะพิมพ์คำที่คล้ายๆ กันแล้วให้ Google ช่วยเดาคำที่ถูกต้องให้ ฮ่าๆ
  2. YouTube: ไม่ใช่แค่ดูคลิปตลกนะเว้ย! เรียนทำอาหาร ดูรีวิวของ หรือแม้แต่ฟังเพลงยาวๆ ตอนทำงานก็ YouTube นี่แหละ บางทีอยากรู้วิธีซ่อมของเอง ก็ search หาใน YouTube เลย สะดวกดี
  3. Pantip: ดราม่ามีทุกวัน! แต่จริงๆ แล้ว Pantip มีประโยชน์มากนะ ถามอะไรแปลกๆ ก็มีคนมาตอบเสมอ แต่ต้องกรองข้อมูลดีๆ หน่อย บางทีก็มีพวกปั่นๆ เหมือนกัน
  4. Wikipedia: เวลาอยากรู้ข้อมูลพื้นฐานอะไรเร็วๆ Wikipedia คือที่พึ่ง! แต่ก็ต้องเช็คข้อมูลกับแหล่งอื่นอีกทีนะ เพราะบางทีก็มีคนมาแก้ข้อมูลผิดๆ เหมือนกัน
  5. Sanook: ตามข่าว ตามดารา ตามหวย! Sanook นี่ครบเครื่องเรื่องข่าวสารบ้านเราจริงๆ
  6. Dek-D: ตามข่าวการศึกษา หาข้อมูลเรียนต่อ เตรียมสอบ Dek-D คือแหล่งข้อมูลสำคัญของเด็กๆ เลย
  7. Thairath Online: อ่านข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม Thairath นี่ก็เป็นอีกแหล่งข่าวที่เข้าบ่อย
  8. Kapook: คล้ายๆ Sanook แต่ Kapook จะเน้นข่าวบันเทิง ข่าวสังคม ข่าวแปลกๆ มากกว่า
  9. Facebook: นอกจากส่องเพื่อนแล้ว กลุ่มต่างๆ ใน Facebook ก็มีประโยชน์นะ หาข้อมูลเฉพาะทางได้เยอะเลย เช่น กลุ่มคนเลี้ยงแมว กลุ่มคนรักต้นไม้
  10. เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ: เวลาต้องการข้อมูลที่เป็นทางการ เช่น กฎหมาย ระเบียบต่างๆ ก็ต้องเข้าเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐโดยตรงเลย
  • สำคัญ: อย่าเชื่อทุกอย่างที่อ่านเจอในอินเทอร์เน็ต! เช็คข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนเสมอ
  • ข้อดีของ Google: ค้นหาอะไรก็ได้ รวดเร็ว ฉลาด
  • ข้อเสียของ Google: ข้อมูลเยอะเกินไป บางทีก็เจอข้อมูลปลอม
  • สิ่งที่ชอบที่สุด: YouTube ช่วยให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายมาก
  • สิ่งที่เกลียดที่สุด: เว็บไซต์ที่มีโฆษณาเยอะเกินไป น่ารำคาญ!
#บริการดี #เว็บไซต์สำเร็จรูป