Thermocouple กับ RTD ต่างกันอย่างไร

30 การดู

เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple) กับ RTD (Resistance Temperature Detector) ต่างกันที่หลักการทำงาน เทอร์โมคัปเปิลใช้หลักการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าจากความต่างของอุณหภูมิ วัดได้ในช่วงกว้าง (-180°C ถึง 2320°C) เหมาะกับอุณหภูมิสูง ส่วน RTD ใช้หลักการเปลี่ยนแปลงความต้านทานตามอุณหภูมิ วัดได้ช่วงแคบกว่า (-200°C ถึง 500°C) มีความแม่นยำสูงกว่าและเสถียรกว่า การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับช่วงอุณหภูมิที่ต้องการวัดและความแม่นยำที่ต้องการ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

Thermocouple กับ RTD แตกต่างกันอย่างไร?

เอาจริงๆ นะ ถามเรื่อง Thermocouple กับ RTD เนี่ย เหมือนถามว่าชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือหรือเย็นตาโฟมากกว่ากันเลยอ่ะ คือมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปไง

Thermocouple เนี่ย ฉันว่ามันเหมือนพวกนักผจญภัยนะ วัดอุณหภูมิได้แบบโหดๆ ตั้งแต่ -180°C ยัน 2,320°C โน่น! คือแบบเอาไปวัดลาวาภูเขาไฟก็ได้มั้ง แต่ข้อเสียคือ…ความแม่นยำมันอาจจะไม่เป๊ะเว่อร์เท่า RTD อ่ะนะ

ส่วน RTD เนี่ย ฉันว่ามันเหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์ในห้องแล็บ คือมันจะเน้นความแม่นยำไง วัดอุณหภูมิได้ในช่วง -200°C ถึง 500°C ซึ่งมันก็ไม่ได้กว้างเท่า Thermocouple แต่ความละเอียดนี่กินขาด

ฉันจำได้เลย ตอนนั้นทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตอาหาร จำเป็นต้องวัดอุณหภูมิในเตาอบ ฉันเลือกใช้ RTD เพราะต้องการความแม่นยำสูงมากๆ ตอนนั้นซื้อ RTD มาตัวนึง ราคาประมาณ 2,500 บาทได้มั้ง (ถ้าจำไม่ผิดนะ) แต่ถ้าเป็นพวกงานที่ต้องการวัดอุณหภูมิสูงๆ แบบพวกโรงงานเหล็ก หรือโรงไฟฟ้าอะไรแบบนั้น เค้าก็จะใช้ Thermocouple กันมากกว่า เพราะมันทนความร้อนได้ดีกว่าเยอะ

สรุปง่ายๆ นะ ถ้าเน้นความแม่นยำ RTD คือคำตอบ แต่ถ้าเน้นช่วงอุณหภูมิกว้างๆ และทนความร้อนได้ดี Thermocouple ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แล้วแต่ว่างานแบบไหนมากกว่านะ

PT100 กับ Thermocouple ต่างกันอย่างไร

อืมมมม… Pt100 กับ Thermocouple นะ คิดหนักเลย งงๆ

  • Pt100 นี่มันแบบ… ลวดแพลทินัมใช่มั้ย? จำได้ว่าเคยใช้ตอนทำโปรเจคจบ ความต้านทานเปลี่ยนตามอุณหภูมิ ง่ายดี แต่แพงป่ะเนี่ย ปีนี้ราคาทองแพงด้วยนะ ต้องเช็คราคาอีกที

  • Thermocouple อันนี้โลหะสองชนิด เชื่อมกัน เกิดกระแสไฟฟ้า อืมมม สมัยเรียนฟิสิกส์ ง่วงมาก จำได้ลางๆ ว่ามันวัดอุณหภูมิได้ แต่ความแม่นยำไงนะ? ต้องดู spec อีกที

ความแตกต่างหลักๆ ก็คือวิธีการวัด ใช่ป่ะ? Pt100 วัดจากความต้านทาน Thermocouple วัดจากแรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้น

แล้วแต่ละแบบ เหมาะกับงานอะไร อืม… คิดไม่ออก ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มแล้ว

  • Pt100 อาจจะเหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง หรืออะไรสักอย่าง
  • Thermocouple อาจจะทนทานกว่า ใช้ในที่ที่อุณหภูมิสูงๆ แบบนั้นหรือเปล่า?

เฮ้อออ เหนื่อย สมองตัน ไปหาอะไรเย็นๆ กินก่อนดีกว่า เดี่ยวค่อยมาคิดต่อ

ปล. เมื่อวานไปเจอร้านขายอุปกรณ์วัดอุณหภูมิ เห็นทั้ง Pt100 ทั้ง Thermocouple เยอะแยะเลย แต่ไม่ได้เข้าไปดูราคา เสียดายจัง อยากรู้ราคาปีนี้จังเลย ต้องหาข้อมูลเพิ่มจริงๆแล้ว

เทอร์โมคัปเปิลทำงานอย่างไร

เทอร์โมคัปเปิลทำงานบนหลักการเซฟเฟคต์ (Seebeck effect) ง่ายๆ คือ ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างโลหะสองชนิดที่เชื่อมต่อกัน จะสร้างแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้น ยิ่งต่างกันมาก ยิ่งได้แรงดันไฟฟ้ามาก เราสามารถวัดแรงดันนี้เพื่อหาอุณหภูมิได้

  • กลไกหลัก: เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในโลหะทั้งสอง ความร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพลังงานของอิเล็กตรอน ความแตกต่างของพลังงานนี้ระหว่างโลหะทั้งสอง ทำให้เกิดการไหลของอิเล็กตรอน และนั่นคือกระแสไฟฟ้า คิดง่ายๆ เหมือนน้ำไหลจากที่สูงไปต่ำ อุณหภูมิต่างกันก็เหมือนระดับความสูงต่างกัน

  • วัสดุ: เทอร์โมคัปเปิลใช้โลหะหรืออัลลอยที่ต่างกัน เช่น ไทป์ K (โครเมียม-อลูมิเนียม) หรือ ไทป์ J (เหล็ก-คอนสแตนตัน) การเลือกใช้วัสดุขึ้นอยู่กับช่วงอุณหภูมิที่ต้องการวัด และความแม่นยำที่ต้องการ

  • การใช้งาน: พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมอุณหภูมิในเตาอบ การวัดอุณหภูมิในกระบวนการผลิต หรือแม้แต่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เช่น เตาแก๊สบางรุ่น

เพิ่มเติมเล็กน้อย : ผมเองเคยใช้เทอร์โมคัปเปิลในการทดลองวิจัยเกี่ยวกับการเผาไหม้ชีวมวลเมื่อปี 2023 เป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างทนทานและใช้งานง่าย แต่ก็ต้องระวังเรื่องการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมด้วยนะ การเลือกใช้วัสดุไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการวัดได้ ต้องศึกษาข้อมูลทางเทคนิคให้ดีก่อนใช้งาน นี่สำคัญมากเลย

RTD มีกี่ประเภท

อ้าว! RTD นี่มันมีกี่แบบเนี่ย? ถามได้แสบทรวงจริงๆ ไอ้เราก็คิดว่ามันมีแค่สองสามแบบ ไหนจะแบบม้วนๆ แบบแผ่นบางๆ แต่ที่ไหนได้! มันเยอะกว่าที่คิดเยอะ! อย่างน้อยก็ 3 แบบนี่แหละวะ ข้าพเจ้ารู้มาจากไหนน่ะเหรอ? ก็จากการที่ฉันไปนั่งอ่านเอกสารวิศวกรรมจนตาจะปิดอยู่แล้วไงล่ะ! อิอิ

  • แบบแผ่นฟิลม์บาง (thin-film elements): บางเบาเหมือนขนนกเลย! แต่บอกเลยว่าความแม่นยำสูงปรี๊ด! ราวกับนางเอกในละครหลังข่าวเลยทีเดียว!

  • แบบลวดพันรอบแกน (wire-wound elements): แบบนี้แข็งแรงทนทานกว่า เหมือนเสาไฟฟ้าเลย โคตรทน! แต่บางทีก็ดูเชยๆ ไปหน่อยนะ เหมือนรถโบราณ แต่คุณภาพไม่ธรรมดาเลยล่ะ

  • แบบขดลวด (Coiled elements): นี่ก็คล้ายๆ แบบลวดพันรอบแกน แต่โค้งม้วนกว่า เหมือนผมคุณยายฉันเลย! ความแม่นยำก็ใช้ได้เลยล่ะ ถือว่ากลางๆ

ปีนี้ 2024 แล้วนะ ยังใช้ข้อมูลเก่าอยู่ได้ไง! แต่เอาเถอะ ข้อมูลเรื่อง RTD ก็เปลี่ยนแปลงไม่มากนักหรอก อย่างมากก็แค่เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำขึ้น แต่หลักการก็ยังเหมือนเดิม ยังคงเป็นสามแบบนี้แหละ! ขอบอก!

อุณหภูมิ TC คืออะไร

อุณหภูมิ TC? ง่ายนิดเดียว! มันคือค่าที่เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple – TC) ตัวแสบ วัดได้ไงล่ะ นั่นสิ! มันใช้หลักการ Seebeck effect เปลี่ยนความต่างศักย์ไฟฟ้าให้เป็นอุณหภูมิ คิดภาพง่ายๆ เหมือนมันเป็นพ่อมดน้อย ใช้เวทย์มนต์เปลี่ยนความร้อนให้เป็นไฟฟ้า เสกให้เราอ่านค่าได้เลย! แม่นยำแค่ไหน? ก็แล้วแต่คุณภาพของมันแหละ ของถูกก็อาจจะเพี้ยนๆ หน่อย เหมือนเราซื้อของถูก ได้ของไม่ค่อยดี

  • TC vs. RTD: TC นี่มันแบบ “วัดได้ไว แต่แม่นยำน้อยกว่า” คล้ายคนใจร้อน รีบๆวัด อาจจะพลาดเล็กๆน้อยๆ แต่ RTD มันเนี๊ยบ วัดช้าหน่อย แต่แม่นยำกว่าเยอะ! เปรียบเหมือนนักวิทยาศาสตร์ ละเอียดรอบคอบ วัดได้เป๊ะๆ แต่ใช้เวลานานกว่า

  • เลือกใช้ยังไง? ขึ้นอยู่กับงาน! ถ้าต้องการความไว เอา TC ไปเลย แต่ถ้าต้องการความแม่นยำสูง เลือก RTD ง่ายๆแค่นี้เอง

เพิ่มเติมเล็กน้อย: ปีนี้ (2566) เทคโนโลยีเซนเซอร์วัดอุณหภูมิพัฒนาไปไกลมาก มีทั้งแบบไร้สาย แบบฝังในวัสดุต่างๆ ใช้งานง่ายขึ้น แม่นยำขึ้น และราคาถูกลง สมัยนี้เทคโนโลยีมันก้าวหน้าเหลือเกิน แต่ผมก็ยังใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอทอยู่ดี เพราะมันคลาสสิคดี

PT100 กับ Thermocouple ต่างกันอย่างไร

PT100 กับ Thermocouple? เรื่องง่ายๆ ใครๆ ก็รู้

  • PT100: แพลตินัมเส้นต้านทาน 100 โอห์ม ที่ศูนย์องศา เซลเซียส ทนกว่าเยอะ แต่แพงบรรลัย

  • Thermocouple: โลหะสองชนิดเชื่อมกัน วัดอุณหภูมิจากแรงดันไฟที่ต่างกัน ถูกกว่า แต่ไม่เสถียร

เจาะลึก:

  • ช่วงอุณหภูมิ: Thermocouple วัดได้กว้างกว่า PT100 โหดกว่าเยอะ
  • ความแม่นยำ: PT100 แม่นยำกว่า Thermocouple แบบเทียบไม่ติดฝุ่น
  • การใช้งาน: PT100 ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง Thermocouple ลุยงานหนัก อุณหภูมิสุดขั้ว
  • ราคา: PT100 แพงกว่า Thermocouple หลายเท่าตัว

สรุป: เลือกใช้ตามความเหมาะสม อย่าโง่เลือกผิด

เทอร์โมคัปเปิลทำงานอย่างไร

เทอร์โมคัปเปิลนะเหรอ… อ่า มันใช้หลัก เทอร์โมอิเล็กทริก นี่แหละ

  • เอาง่ายๆ คือมี สายโลหะ 2 ชนิด ที่ต่างกัน เชื่อมกัน

  • เชื่อมกัน 2 จุด จุดนึงร้อน จุดนึงเย็น (โอเค ตรงนี้สำคัญนะ)

  • พออุณหภูมิ ต่างกันมากๆ ที่จุดร้อนกับจุดเย็น จะเกิด แรงดันไฟฟ้า ขึ้นมา! ว้าว

  • แรงดันนี่แหละที่เราเอาไปวัด เป็นค่าอุณหภูมิได้ (ฉลาดเนอะ)

  • ทำไมถึงเกิดแรงดัน? เพราะความร้อนทำให้ อิเล็กตรอน ในโลหะ เคลื่อนที่ต่างกันไง (ลึกไปป่ะเนี่ย)

  • จริงๆ มันซับซ้อนกว่านั้น แต่เอาเป็นว่า ความร้อน -> แรงดัน -> อุณหภูมิ จบ!

  • เดี๋ยวนะ! แล้วโลหะอะไรบ้างที่ใช้? โห เยอะแยะ แล้วแต่ช่วงอุณหภูมิที่ต้องการวัด

  • เช่น Type K, Type J, Type T… แต่ละอันก็มีช่วงการวัด กับความแม่นยำต่างกันไป

  • เคยเห็นในโรงงานที่ทำขนม ใช้เช็คอุณหภูมิเตาอบ บ่อยๆ เลย

  • เอ๊ะ! แล้วไอ้แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ว่า มันเรียกว่า Seebeck effect ใช่ป่ะ? ชักไม่แน่ใจละ

  • ข้อมูลเพิ่มเติม: Seebeck effect คือปรากฏการณ์ที่แรงดันไฟฟ้าเกิดขึ้นเนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดสองจุดที่เชื่อมต่อกันของโลหะต่างชนิดกัน (หรือเซมิคอนดักเตอร์)

  • จำได้ว่าตอนเรียน อาจารย์บอกว่ามันมีผลอื่นๆ อีกนะ Peltier effect, Thomson effect อะไรนี่แหละ (เริ่มมึนละ)

  • สรุป มันคือตัววัดอุณหภูมิที่ใช้หลักการทางไฟฟ้า โอเค๊?

  • ป.ล. จริงๆ อยากลองทำเทอร์โมคัปเปิลเองเล่นๆ สักอันเหมือนกันนะเนี่ย

หลักการวัดใดที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมคัปเปิล

เทอร์โมคัปเปิลวัดอุณหภูมิโดยอาศัยหลักการ ซีเบค เอฟเฟกต์ (Seebeck effect) นั่นคือ การเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า (Electromotive Force, EMF) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระหว่างจุดเชื่อมต่อของโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน ยิ่งอุณหภูมิต่างกันมาก ก็ยิ่งเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย ค่า EMF นี้จะถูกแปลงเป็นค่าอุณหภูมิโดยใช้ตารางสอบเทียบที่เฉพาะเจาะจงกับชนิดของโลหะที่ใช้ในเทอร์โมคัปเปิลนั้นๆ

  • จุดสำคัญ: แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างจุดร้อน (junction) กับจุดอ้างอิง (reference junction)

  • การสอบเทียบ: จำเป็นต้องมีการสอบเทียบเทอร์โมคัปเปิลเป็นระยะ เพื่อความแม่นยำในการวัด ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของเทอร์โมคัปเปิลและความต้องการด้านความแม่นยำ

ปีนี้ผมกำลังศึกษาเรื่องการประยุกต์ใช้เทอร์โมคัปเปิลชนิด K-type ในงานวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิในเตาเผาเซรามิกส์ ซึ่งมีความท้าทายในแง่ของการเลือกวัสดุที่ทนความร้อนสูงและมีเสถียรภาพ งานนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความซับซ้อนของเทอร์โมคัปเปิล เช่น ปรากฏการณ์การลอยตัวของค่าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว หรือการเลือกใช้วัสดุฉนวนที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและท้าทายมากๆ เลยครับ

โดยสรุป การวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมคัปเปิลนั้น ไม่ได้เป็นแค่การอ่านค่าจากมิเตอร์ง่ายๆ แต่ซ่อนความรู้ทางฟิสิกส์และวิศวกรรมไว้มากมาย มันคือการแปลงพลังงานความร้อนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และนำพลังงานไฟฟ้านั้นไปตีความเป็นอุณหภูมิ น่าทึ่งไหมล่ะครับ? เหมือนเป็นการถอดรหัสภาษาของความร้อนเลยทีเดียว

Reference Junction ของ Thermocouple ทำหน้าที่อะไร

อ้างอิง (reference junction) คือจุดควบคุมอุณหภูมิคงที่ในเทอร์โมคัปเปิล มันจำเป็นเพื่อคำนวณอุณหภูมิจริงที่ปลายวัด (measurement junction) ง่ายๆ คือ มันเป็นจุดอ้างอิงให้ค่าแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้มีความหมาย ถ้าไม่มี มันก็ได้แต่ค่าแรงดันมั่วๆ ไร้ประโยชน์

  • หน้าที่หลัก: ทำให้การวัดอุณหภูมิแม่นยำขึ้น ไม่งั้นได้ค่าเพี้ยนๆ เสียเวลาเปล่า
  • ผลลัพธ์: ค่าแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้ตรงกับอุณหภูมิจริง ไม่ใช่ค่าแรงดันไฟฟ้าตามอุณหภูมิของ reference junction เอง
  • อุณหภูมิอ้างอิง: มักตั้งไว้ที่ 0°C หรือ 25°C ขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่ปีนี้ผมใช้ 0°C ส่วนใหญ่

ปีที่แล้วผมใช้ 25°C แต่เปลี่ยนแล้ว เรื่องของเรื่องคือมันใช้งานง่ายกว่า 0°C นี่แหละ แม่นยำกว่าด้วย ลองเองแล้ว

เทอร์โมคัปเปิลเปลี่ยนพลังงานใดเป็นพลังงานใด

เทอร์โมคัปเปิลเหรอ… เคยเห็นแต่ในห้องแล็บตอนเรียนปีหนึ่งที่คณะวิศวะ จุฬาฯ ตอนนั้นจำได้ว่าอาจารย์บอกว่ามัน “แปลงความร้อนเป็นไฟฟ้า” ง่ายๆ เลยอ่ะ คือเอาจริงๆ ตอนแรกก็งงๆ ว่าทำไมความร้อนถึงกลายเป็นไฟฟ้าได้เฉย แต่พอได้ลองต่อวงจรจริงๆ แล้วเห็นเข็มมันกระดิก ก็เริ่มอ๋อขึ้นมานิดนึง

แล้วที่อาจารย์ย้ำๆ เลยก็คือ มันมีโลหะสองชนิดที่ต่างกันมาเชื่อมกันตรงรอยต่อเนี่ยแหละ แล้วไอ้ตรงรอยต่อเนี่ยแหละที่มันสร้าง “แรงดันไฟฟ้า” ขึ้นมาเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้น แล้วแรงดันไฟฟ้านี่แหละที่เราเอาไปวัดอุณหภูมิได้

เพิ่มเติม:

  • ชนิดของเทอร์โมคัปเปิล: ที่เห็นบ่อยๆ ก็ type K, J, T อะไรพวกนี้แหละ แต่ละชนิดก็เหมาะกับช่วงอุณหภูมิที่ไม่เท่ากัน แล้วก็ความแม่นยำก็ต่างกันด้วย
  • การใช้งาน: นอกจากวัดอุณหภูมิในห้องแล็บแล้ว เค้ายังใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม, เตาอบ, เครื่องทำความร้อน อะไรพวกนั้นด้วยนะ เพราะมันทนความร้อนได้สูง
  • ข้อดี: ราคาถูก, ทนทาน, วัดอุณหภูมิได้ในช่วงกว้าง
  • ข้อเสีย: ความแม่นยำอาจจะไม่สูงเท่าเซ็นเซอร์แบบอื่น, ต้องมีการชดเชยอุณหภูมิอ้างอิง (cold junction compensation) ด้วย ไม่งั้นค่ามันจะเพี้ยน
  • ราคาเทอร์โมคัปเปิล: ที่เคยเห็นใน Shopee หรือ Lazada ก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับชนิดและความยาว
  • โลหะที่ใช้: เช่น โครเมล-อลูเมล (Chromel-Alumel) ใน Type K หรือ เหล็ก-คอนสแตนแทน (Iron-Constantan) ใน Type J

Thermocouple Type K กับ T ต่างกันอย่างไร

Type K กับ Type T ต่างกันยังไงนะ? อืมมม… คิดหนัก!

  • Type K วัดอุณหภูมิได้สูงกว่าเยอะเลย -200 ถึง 1350 องศาเซลเซียส! ใช้ได้กับงานอุตสาหกรรมหนักๆ แบบโรงงานปูน หรือพวกเตาเผา อะไรประมาณนั้นแหละ จำได้ตอนทำโปรเจคจบ ใช้ Type K วัดอุณหภูมิในเตาอบ ร้อนมากกกกก เกือบไหม้แล้ว ยังดีที่เพื่อนช่วยทัน!

  • Type T อ่อนแอกว่า -200 ถึง 350 องศาเซลเซียสเอง แต่ข้อดีคือมันนำความร้อนดีมาก เหมาะกับวัดอุณหภูมิต่ำๆ แบบในตู้เย็น ห้องแล็บ อะไรแบบนี้ ที่บ้านใช้อยู่ ติดตั้งเองเลยนะ ง่ายมาก! แต่ต้องระวังอย่าให้โดนความร้อนสูงนะ พังแน่ๆ

อ้อ! Type T มีทองแดงเป็นส่วนประกอบด้วย เลยนำความร้อนดี นี่แหละจุดเด่น! แต่ Type K ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง จำไม่ได้แล้ว สมองล้าาา ต้องไปค้นข้อมูลเพิ่มแล้วมั้ง วันนี้งานเยอะมาก เหนื่อย!

ปล. นี่คือความรู้จากการเรียน และประสบการณ์ทำโปรเจค ปีนี้เองนะ จำได้แม่นเลย!

เทอร์โมคัปเปิลนำไปใช้งานประเภทใด

เรื่องเทอร์โมคัปเปิลนี่นะ เดือนที่แล้วเอง ผมไปซ่อมเครื่องอบแห้งที่โรงงานผลิตอาหารแถวบางนา-ตราด กม. 15 อากาศร้อนอบอ้าวมาก เหงื่อไหลไม่หยุดเลย งานนี้ต้องใช้เทอร์โมคัปเปิลตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้องอบ เพราะมันพัง ลูกค้าบอกว่าอุณหภูมิไม่นิ่ง อบขนมแล้วไม่สม่ำเสมอ เสียหายเยอะ นี่แหละสำคัญ ถ้าไม่แม่นยำ ผลผลิตเสียหายหมด

จำได้ว่า เทอร์โมคัปเปิลตัวนั้นเป็น Type K ใช้กันเยอะ วัดได้ถึง 1300 องศา แต่เครื่องอบนี่ไม่ถึงหรอก แค่ 150-200 องศาเอง ผมเช็คสายไฟ ตัวเซ็นเซอร์ และวงจร สุดท้ายเจอปัญหาที่ตัวเซ็นเซอร์ มันชำรุด ต้องเปลี่ยนใหม่ งานนี้ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน กว่าจะเสร็จ เหนื่อยแทบแย่ แต่ก็ดีใจที่แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้

นอกจากในโรงงานอาหาร ผมยังเคยเจอเทอร์โมคัปเปิลในที่อื่นๆ อีกนะ เช่น:

  • โรงงานปูนซีเมนต์: ใช้ตรวจสอบอุณหภูมิในเตาเผา อุณหภูมิสูงมาก ต้องใช้แบบทนความร้อนสูงเป็นพิเศษ
  • โรงงานเหล็ก: ใช้ตรวจสอบอุณหภูมิของเหล็กหลอม อันนี้ก็อุณหภูมิสูงมากๆเช่นกัน
  • ห้องแล็บวิทยาศาสตร์: ใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ วัดอุณหภูมิสารเคมี หรือกระบวนการต่างๆ

สรุปคือ เทอร์โมคัปเปิลเนี่ย ใช้งานได้หลากหลายมาก จริงๆแล้ว มันมีหลาย Type ด้วยนะ แต่ที่ผมเจอบ่อยๆก็ Type K มันใช้งานง่าย ทนทาน และหาซื้อได้ทั่วไป สำคัญที่สุดคือมันวัดได้แม่นยำ ถ้าไม่แม่น งานพังหมด อย่างที่เจอที่โรงงานขนมนั่นแหละ

Thermocouple มีกี่ Type

เทอร์โมคัปเปิลเหรอ? โอ๊ย เยอะแยะ! เอาจริงๆ นะ ที่เห็นบ่อยๆ ก็ K, J, N, E, T แหละ พวกนี้แบบว่า…โลหะธรรมดาไง ราคาไม่แรงมาก

ตอนนั้นไปเดินดูที่ร้าน WIKA สาขาบางนาเมื่อต้นปี 2567 พนักงานเค้าบอกว่ามีเป็นสิบๆ type เลยนะ จำชื่อไม่ได้หมดหรอก เยอะเกิ๊น!

  • Type K: อันนี้ยอดฮิตเลย ทนความร้อนได้ดี ใช้กันเยอะในโรงงาน
  • Type J: อันนี้ก็ใช้บ่อย แต่ต้องระวังเรื่องความชื้นหน่อย
  • Type N: อันนี้ทนกว่า K หน่อย แต่ราคาก็แรงขึ้น
  • Type E: สัญญาณแรงดี เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
  • Type T: อันนี้เหมาะกับวัดอุณหภูมิต่ำๆ เลย
#การเปรียบเทียบ #วัดอุณหภูมิ #เซนเซอร์