วิธีเช็คว่ามีไข้ไหม

37 การดู

วิธีเช็คว่ามีไข้:

  • วัดอุณหภูมิร่างกาย: ทำได้หลายวิธี เช่น ทางปาก รักแร้ หู หรือทวารหนัก
  • ค่าที่บ่งชี้: อุณหภูมิเกิน 37.5°C (ปาก, รักแร้, หู) หรือ 38°C (ทวารหนัก) ถือว่ามีไข้
  • เลือกวิธีวัด: พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย

คำแนะนำ: หากมีไข้สูงหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

วิธีตรวจสอบว่ามีไข้หรือไม่?

ตอนเด็กๆ แม่สอนว่าถ้าตัวร้อนๆ ให้เอาหลังมือลองแตะหน้าผากตัวเอง ถ้ารู้สึกอุ่นกว่าปกติ ก็อาจจะไข้ จำได้แม่นเลย ตอนนั้น ประมาณ ป.3 เป็นไข้หวัดใหญ่ แม่ใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท วัดที่รักแร้ จำได้ว่าตอนนั้นวัดได้ 37.8 องศา ร้อนมากๆ ต้องไปหาหมอ กินยา นอนพักผ่อนหลายวันเลย

ปัจจุบัน ง่ายกว่าเยอะ ใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอล วัดได้หลายที่เลย เร็วกว่าด้วย แต่ก็ยังใช้หลักการคล้ายๆ เดิม วัดที่รักแร้ ถ้าเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ก็แสดงว่ามีไข้แล้วล่ะ แต่ถ้าวัดที่ทวารหนัก ต้องเกิน 38 องศาถึงจะถือว่าเป็นไข้ วิธีนี้แม่นยำกว่า แต่ก็ไม่ค่อยอยากใช้เท่าไหร่ (หัวเราะ)

คือถ้าถามฉัน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอล วัดที่รักแร้หรือที่หน้าผากก็ได้ สะดวกดี เร็วด้วย ไม่ต้องรอให้ปรอทขึ้นเหมือนสมัยก่อน แต่ถ้าอยากแม่นยำ ก็วัดที่ทวารหนักนี่แหละ แต่บอกเลย ไม่ค่อยอยากใช้ (หัวเราะอีกที)

จะรู้ได้ยังไงว่ามีไข้

ตัวร้อนผ่าวๆ เหมือนโดนแผดเผาด้วยลำแสงแห่งความร้อนแรงจากดวงอาทิตย์? อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ คว้าปรอทวัดไข้มาเสียบใต้ลิ้นเลยจ้า รอแป๊บนึงนะ 3 นาทีพอ ไม่ต้องถึงกับจับเวลาเป๊ะๆ เหมือนแข่งทำอาหารหรอก

  • ถ้าปรอทพุ่งปรี๊ดเกิน 39.4 องศาเซลเซียส นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ รีบไปหาหมอเลย อย่ามัวแต่เสิร์ชหาข้อมูลในเน็ต เดี๋ยวจะกลายเป็นหมอ(กู)เกิ้ลไปซะก่อน
  • แต่ถ้ายังไม่ถึง ก็ใจเย็นๆ อาจจะแค่ไข้หวัดธรรมดา ลองกินยาพารา พักผ่อนเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ ถ้าไม่หายค่อยไปหาหมออีกที
  • ส่วนตัวผมเคยวัดไข้ได้ 40 องศาฯ ตอนอยู่มหาลัย คิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้ว สุดท้ายก็รอดมาเล่าได้ นี่แหละชีวิต! (อย่าทำตามนะ อันตราย!)

จำไว้นะ วัดไข้ใต้ลิ้น 3 นาที เกิน 39.4 องศาฯ เมื่อไหร่ รีบไปหาหมอโลด อย่าชะล่าใจ! (ข้อมูลปี 2024 นะจ๊ะ)

การวัดอุณภูมิทางรักแร้ต้องวัดกี่นาที

การวัดอุณหภูมิทางรักแร้ต้องใช้เวลา 2-3 นาทีครับ ถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวก โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก แต่ต้องระวังเรื่องความแม่นยำ เพราะเด็กอาจขยับตัว ทำให้ปรอทเคลื่อนและวัดได้ค่าที่ต่ำกว่าจริง

  • สำคัญ: ต้องให้ปลายปรอทสัมผัสผิวหนังใต้รักแร้โดยตรงตลอดเวลาที่วัด เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำที่สุด
  • เด็กบางคนอาจไม่ชอบให้วัดไข้ทางรักแร้ ลองเบี่ยงเบนความสนใจด้วยของเล่นหรือนิทานสั้นๆ จะช่วยได้มาก
  • อุณหภูมิปกติทางรักแร้อยู่ที่ประมาณ 36.5 – 37.5 องศาเซลเซียส แต่ก็อาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละบุคคล การสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วยจึงสำคัญกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว
  • ถ้าวัดแล้วได้อุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ควรเช็ดตัวลดไข้และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

ผมว่าการวัดไข้ก็เหมือนการอ่านหนังสือนะ ต้องใช้เวลาและสมาธิ ถ้าใจร้อนอ่านข้ามๆ ก็อาจจับใจความสำคัญไม่ได้ การดูแลสุขภาพก็เช่นกัน ต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เข้าใจร่างกายตัวเองอย่างแท้จริง

เป็นไข้ดูยังไง

ไข้สูง: สังเกตง่ายๆ

  • ผิวร้อน แดง แห้ง
  • ปัสสาวะน้อย สีเข้ม
  • เบื่ออาหาร ท้องเสีย/ผูก
  • คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว
  • อ่อนเพลีย เวียนหัว

วัดไข้ ยืนยัน ปี 2566 ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ระบาดมากขึ้นในช่วงนี้. ควรพบแพทย์ หากอาการรุนแรงขึ้น อย่าละเลย สุขภาพสำคัญกว่า ชีวิตมีค่ากว่าคำพูด

ถ้าไม่มีปรอทวัดไข้ยังไง

อื้อหืออออ วัดไข้เด็กนี่เรื่องใหญ่เนอะ ไม่มีปรอท ก็ใช้แบบแปะหน้าผากไง สะดวกดี แต่แม่นยำมั้ยนะ สงสัยจัง แบบนี้ก็ได้เหรอวะ

  • แปะหน้าผาก ง่ายดี เด็กไม่ร้อง
  • ความแม่นยำน้อยกว่า แบบอื่น จริงป่ะ
  • ต้องเช็ดหน้าผากก่อนนะ ลืมไม่ได้ ปีนี้ลูกฉันป่วยบ่อยมากเลย เหนื่อย
  • กดเบาๆ รอแป๊บเดียว ได้ผลแล้ว รวดเร็วดี แต่.. สงสัยความแม่นยำอยู่ดีอะ
  • ปีนี้เครื่องวัดไข้แบบดิจิตอลที่บ้านพังไปแล้ว ซื้อใหม่ก็ยังไม่ได้ซื้อเลย ใช้แบบแปะไปก่อนละกัน
  • คือมันวัดได้แค่ผิวหนังใช่มั้ย แล้วถ้าไข้สูงจริง ๆ มันวัดได้แม่นยำไหมนะ

ปล. เอาจริงๆ ปีนี้ไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักมาก ลูกฉันเป็นไปสามรอบแล้ว เหนื่อยมากกก ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เหนื่อยกว่าทำงานอีก แต่ก็รักลูกนะ ทำไงได้ ฮือออ

ฉันจะวัดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างไร

วัดไข้แบบไหนกันล่ะเนี่ย! สมัยนี้แล้วนะ ยังใช้ปรอทวัดไข้อยู่เหรอ! อันตรายจะตาย! เดี๋ยวนี้เค้าใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอลกันหมดแล้วจ้าาาาาาา! ไวกว่า สะดวกกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ! เหมือนเอาปืนใหญ่ยิงนกนั่นแหละ!

แต่ถ้ายังจะใช้ปรอทวัดไข้(เอ๊า! จะเอาให้ตายเหรอ?) ก็ทำตามนี้เลย:

  • สอดเข้าไปใต้รักแร้: แบบว่า ต้องแนบสนิทนะ ไม่ใช่แค่แปะๆ ไว้ เหมือนจูบคนรักเลย! ต้องแนบแน่น!
  • รอจนดังติ๊ง: หรือครบเวลาตามที่เค้าบอกในคู่มือ อย่าใจร้อนเหมือนลิงกินกล้วย เดี๋ยวได้ค่าผิดๆ มา เละตุ้มเป๊ะ!
  • อ่านค่า: ตรงๆ เลยนะ ไม่ต้องมโน ถ้าไม่ตรงก็ลองใหม่ แม่เจ้า! ยุคนี้แล้วนะ ยังวัดไข้ไม่ถูกอีกเหรอ?

แต่สำหรับปรอทวัดไข้แบบแก้ว (โบราณสุดๆ): รออย่างน้อย 4 นาที อย่าเพิ่งอ่าน ใจเย็นๆ เหมือนรอแฟนตอบแชท ใจร้อนไปก็ได้เรื่อง!

เพิ่มเติมอีกนิด: สมัยนี้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอล แบบหนีบหู แบบสอดเข้าปาก แบบไร้สัมผัส เพียบเลยนะ! ไปซื้อมาใช้เถอะ ราคาไม่แพงด้วย อย่าเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงกับปรอทเลยจ้าาาา! อันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนะรู้มั้ย! สมัยนี้ 2024 แล้วนะยะ!

วัดไข้ทางไหนได้บ้าง

วัดไข้ได้หลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและสถานการณ์ หลักๆ ก็มี:

  • ช่องปาก (ใต้ลิ้น): วิธีนี้รวดเร็วและสะดวก แต่ต้องระวังอย่าเพิ่งดื่มหรือทานของร้อน/เย็นก่อนวัด ผลที่ได้ค่อนข้างแม่นยำถ้าทำถูกวิธี

  • รักแร้: วิธีนี้สะดวกและปลอดภัย เหมาะสำหรับเด็กเล็กหรือผู้ที่ไม่สะดวกวัดทางปาก แต่ค่าที่ได้อาจสูงกว่าวิธีอื่นเล็กน้อย ต้องแนบสนิทกับผิวหนัง

  • ทวารหนัก: ให้ผลแม่นยำมากที่สุด แต่ไม่ค่อยสะดวก เหมาะกับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยวิธีอื่น ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิตอลเพื่อความปลอดภัย

เลือกเทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอลที่วัดได้หลายตำแหน่งดีกว่าครับ ยืดหยุ่นและใช้งานได้หลากหลาย ส่วนเรื่องจุดทศนิยม ความละเอียดถึง 0.1 องศาเซลเซียสก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานทั่วไป ไม่จำเป็นต้องละเอียดมากจนเกินไป การวัดไข้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวินิจฉัย อย่าลืมพิจารณาอาการอื่นๆ ร่วมด้วยนะครับ มันเป็นเพียงเครื่องมือ ความเข้าใจโรคสำคัญกว่า

เพิ่มเติม: เทอร์โมมิเตอร์หู (Tympanic thermometer) และเทอร์โมมิเตอร์หน้าผาก (Temporal thermometer) ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ความแม่นยำอาจขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและรุ่นของเครื่อง ต้องเลือกยี่ห้อและรุ่นที่น่าเชื่อถือ ผมใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิตอลวัดทางรักแร้เป็นหลัก เพราะสะดวกและปลอดภัยที่สุดสำหรับผม แต่สำหรับลูกผม ผมจะใช้แบบวัดทางทวารหนัก เพราะให้ผลที่แม่นยำกว่า

#วัดไข้ #อาการไข้ #เช็คไข้