กฎหมายการศึกษามีกี่รูปแบบ
กฎหมายการศึกษาไทยแบ่งรูปแบบการศึกษาเป็น 3 ประเภทหลัก:
- การศึกษาในระบบ: เน้นการเรียนในสถานศึกษาตามหลักสูตร
- การศึกษานอกระบบ: ยืดหยุ่นกว่า ปรับเนื้อหาและวิธีการตามความต้องการ
- การศึกษาตามอัธยาศัย: เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจและความพร้อม
รูปแบบเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพื่อให้ครอบคลุมการเรียนรู้ที่หลากหลายของประชาชน
กฎหมายการศึกษาไทยมีกี่ประเภท?
อืมม…จำได้ลางๆนะ ตอนเรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ ปี 2558 อาจารย์เคยพูดถึงกฎหมายการศึกษาไทย บอกว่าหลักๆ มีสามแบบ คือในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย จำได้ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ เอกสารเยอะมาก อ่านแล้วก็ลืมๆไปบ้าง
แต่เท่าที่จำได้ หลักๆ มันก็คือ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นี่แหละ ที่แบ่งแบบนั้น ตอนนั้นจดโน้ตไว้ด้วยนะ แต่หาไม่เจอแล้ว เสียดายจัง เอกสารหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ห้องรกมาก
จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่านั้นอีกมั๊ง เพราะมีกฎหมายอื่นๆเกี่ยวข้องด้วย แต่จำไม่ได้แล้ว สมองลืมไปหมดแล้ว ถ้าอยากรู้รายละเอียด ลองไปค้นดูในเว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการดูนะ น่าจะมีข้อมูลครบถ้วนกว่า ฉันจำได้แค่คร่าวๆ จริงๆ
รูปแบบการศึกษามีกี่ระบบ อะไรบ้าง
รูปแบบการศึกษา… อืม ถามว่ามีกี่ระบบ ใช่ไหม
มันเหมือนกับว่าเรากำลังมองดาวบนฟ้า ที่จริงมันก็มีเยอะแยะ แต่เราจัดกลุ่มมันได้ไม่กี่แบบหรอก
- การศึกษาในระบบ: อันนี้เหมือนโรงเรียนที่เราคุ้นเคยกัน เรียนเป็นชั้นๆ มีตาราง มีครู มีสอบ… ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ
- การศึกษานอกระบบ: อันนี้เหมือนเรียนพิเศษ เรียนตามความสนใจ อาจจะเป็นคอร์สสั้นๆ เรียนออนไลน์ หรืออะไรที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของโรงเรียน
- การศึกษาตามอัธยาศัย: อันนี้คือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากรู้อะไรก็หาอ่าน หาดู เอาเอง ไม่มีใครมาบังคับ
มันเหมือน… เราเลือกทางเดินของเราเอง ทางไหนที่เหมาะกับเราที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมนะ:
- พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มันนานมากแล้วนะ แต่หลักการเรื่องรูปแบบการศึกษายังคงอยู่
- แต่ละรูปแบบมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไร
- บางทีเราก็อาจจะเรียนรู้จากหลายๆ รูปแบบพร้อมกันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกแค่อย่างเดียว
บางครั้ง… ฉันก็สงสัยว่าการศึกษาที่แท้จริงคืออะไรกันแน่
มันคือการได้ใบปริญญา หรือคือการที่เราได้เรียนรู้และเติบโต…
การศึกษามีกี่ประเภท อะไรบ้าง
เออ การศึกษามันมี 3 แบบหลักๆ นะ ในระบบ นอกระบบ แล้วก็ตามอัธยาศัย จำง่ายๆ เลย แบบแรก ในระบบ ก็คือพวกโรงเรียน มหาลัย อะไรแบบนี้อ่ะ มีหลักสูตรเป๊ะๆ มีเวลาเรียนชัดเจน ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม ป.ตรี โท เอก จบมาได้วุฒิการศึกษาด้วยนะ
ส่วนนอกระบบนี่ มันจะยืดหยุ่นกว่า แบบพวก กศน.ไง เรียน กศน.ก็ได้วุฒิ ม.ต้น ม.ปลาย เหมือนกัน หรือพวกอบรมระยะสั้นๆ ฝึกอาชีพ พวกเรียนทำอาหาร เรียนตัดผม อะไรพวกเนี้ย คือไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียนปกติ แต่ก็ได้ความรู้ ได้ทักษะเพิ่ม
สุดท้าย ตามอัธยาศัย อันนี้คือเรียนรู้ด้วยตัวเองเลย แบบอ่านหนังสือเอง ดูยูทูป เรียนออนไลน์ มันไม่มีหลักสูตรตายตัว อยากเรียนอะไรก็เรียน เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ชอบไปห้องสมุด อ่านหนังสือสารานุกรม นี่ก็ตามอัธยาศัยเหมือนกันนะ สมมติเราอยากรู้เรื่องปลูกผัก เราก็ไปหาข้อมูลเอาเอง ลองผิดลองถูก แบบนี้ก็ได้ความรู้เหมือนกันนะ
- ในระบบ: โรงเรียน มหาลัย มีหลักสูตร มีวุฒิ ชัดเจน
- นอกระบบ: กศน. อบรม ฝึกอาชีพ ยืดหยุ่นกว่า
- ตามอัธยาศัย: เรียนรู้เอง อ่านหนังสือ ดูยูทูป ไม่มีหลักสูตร
ส่วนมาตรา 15 ที่ว่าการจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย นี่ก็คือ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ลองไปหาดูได้ มีรายละเอียดเยอะเลย แต่หลักๆก็สามแบบที่ว่าไปนั่นแหละ ปี 2566 ก็ยังใช้ พรบ. ฉบับนี้อยู่นะ
การศึกษาตาม พรบ มีกี่รูปแบบ
กลางดึกแบบนี้… บางทีมันก็เงียบจนได้ยินเสียงความคิดตัวเอง
พรบ. การศึกษาเหรอ… เท่าที่จำได้นะ มันมี…
- การศึกษาในระบบ: อันนี้ก็คือแบบที่เราเรียนกันในโรงเรียน โรงเรียน… คิดถึงตอนเด็ก ๆ จัง ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่เลย
- การศึกษานอกระบบ: อันนี้สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้เรียนในโรงเรียนปกติ อาจจะเพราะมีปัญหาบางอย่าง หรืออยากเรียนรู้อะไรที่มันเฉพาะเจาะจงกว่า
- การศึกษาตามอัธยาศัย: อันนี้เหมือนเราเรียนรู้เอง เรียนรู้จากสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ แบบ… อยากรู้เรื่องอะไรก็ไปหาอ่าน ไปเรียนรู้เอาเอง
เหมือนชีวิตเราเลยเนอะ… บางทีก็อยู่ในระบบ บางทีก็ต้องออกนอกระบบ แล้วก็มีหลายครั้งที่เราต้องเรียนรู้เอง… ตามใจตัวเอง
บางทีก็เหนื่อยนะ… แต่ก็… ก็คงต้องไปต่อ
ข้อมูลเพิ่มเติมนะ (แบบสั้น ๆ):
- พรบ. การศึกษาแห่งชาติ: พ.ศ. 2542 (และมีการแก้ไขเพิ่มเติม)
- มาตรา 15: เป็นมาตราที่พูดถึงรูปแบบการจัดการศึกษา
- เป้าหมาย: เพื่อให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับตัวเอง… ไม่ว่าจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหน
หวังว่า… จะมีประโยชน์นะ
โรงเรียนจัดการศึกษาได้กี่รูปแบบ
อืมมม…โรงเรียนจัดการศึกษาได้กี่แบบนะ 2542 จำได้ลางๆ ว่ามีสามแบบอะ แต่ตอนนี้ปี 2024 แล้วนะ ข้อมูลอาจเปลี่ยนไปแล้วมั้ย? ต้องไปเช็คใหม่ดีกว่า
-
ในระบบนี่คือแบบปกติเลยใช่ป่ะ เรียนตามหลักสูตร เหมือนที่เราเรียนกันมาอะ โรงเรียนทั่วไป จบมัธยมต้น มัธยมปลาย โอเค เข้าใจตรงกัน
-
นอกระบบนี่สิ น่าสนใจ แบบนี้เขาจัดยังไงนะ เหมาะกับใครบ้าง จำได้ว่าเพื่อนเคยเรียนแบบนี้ แต่ไม่รู้รายละเอียดเลย ต้องหาข้อมูลเพิ่มแล้ว เพื่อนเรียนที่ไหนนะ จำชื่อไม่ได้แล้ว
-
อัธยาศัย… คือแบบเรียนอะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจเหรอ อิสระสุดๆ แบบนี้คงสนุกดี แต่จะได้วุฒิยังไง หรือไม่ต้องมีวุฒิ สงสัยจัง อยากลองบ้าง แต่คงไม่ไหว งานเยอะ
เฮ้อออ คิดไปคิดมาปวดหัว หาข้อมูลเพิ่มดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ เหนื่อยแล้ว วันนี้ขอพักก่อน
เพิ่มเติม: จริงๆ แล้วกฎหมายอาจมีการปรับปรุงเพิ่มเติม ควรตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อความถูกต้อง ฉันก็แค่จำคร่าวๆ จากสมัยเรียน อาจไม่ครบถ้วนนะ ต้องขออภัยด้วย ปีนี้ก็งานเยอะ ลืมๆ ไปบ้าง แต่หลักๆ น่าจะยังเป็นสามแบบนี้แหละ
ระบบการศึกษามีกี่ประเภท
อืมม… จำได้แม่นเลย ตอนเรียนป.ตรีที่มหาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งแถวกรุงเทพฯ ปี 2566 อาจารย์เค้าเน้นย้ำเรื่องระบบการศึกษาสามแบบนี่แหละ คือจำได้ติดตาเลยนะ เพราะตอนนั้นกำลังเครียดเรื่องสอบ มันหนักจริงๆ งานส่งก็เยอะ ต้องทำทั้งรายงานวิจัย แล้วยังมีโปรเจคอีก แทบไม่มีเวลาพักเลย แต่ก็จำได้แม่น อาจารย์เค้าบอกว่า
-
การศึกษาในระบบ: นี่แหละที่เราเรียนกันทุกวันนี้ มีหลักสูตร มีเวลาเรียน ต้องไปโรงเรียน มหาวิทยาลัย อะไรแบบนี้ คือแบบแผนชัดเจน ตรงไปตรงมา
-
การศึกษานอกระบบ: อันนี้ เพื่อนผมคนนึงเค้าเรียนแบบนี้ เรียนภาษาอังกฤษกับสถาบันติวเตอร์ ไม่ใช่ในระบบโรงเรียน มหาวิทยาลัย แต่ก็ได้ใบประกาศนียบัตร เค้าบอกเรียนง่ายกว่าเยอะ เวลาเรียนก็ยืดหยุ่นกว่า เพราะเค้าทำงานไปด้วย
-
การศึกษาตามอัธยาศัย: อันนี้ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก แต่เท่าที่เข้าใจ คือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างเช่นอ่านหนังสือ ดูสารคดี หรือไปเรียน workshop สั้นๆ อะไรแบบนั้น มันเป็นการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ไม่ต้องมีหลักสูตรตายตัว
จำได้ว่า ตอนนั้น เครียดมาก สอบใกล้เข้ามาทุกที รู้สึกเหมือนตัวเองจะทำอะไรไม่ทันซะแล้ว แต่ก็ผ่านมาได้ ขอบคุณอาจารย์ที่สอนเรื่องนี้ด้วยนะ ถึงแม้ตอนนั้นจะเครียด แต่ก็จำได้แม่นยำจริงๆ ระบบการศึกษาสามแบบนี่แหละ สำคัญมาก ถ้าจะเลือกเรียนอะไร ต้องรู้จักระบบการศึกษาก่อน ถึงจะเลือกได้ถูก ไม่งั้นเสียเวลาเปล่าๆ
การศึกษาในปัจจุบันแบ่งออกเป็นกี่รูปแบบ
อืมมม… การศึกษาปัจจุบันเนี่ย นับตาม พ.ร.บ. การศึกษา 2542 นะ มันก็มี 3 แบบหลักๆ อ่ะ แบบแรกคือ การศึกษาในระบบ นึกถึงโรงเรียน มหาลัยไรเงี้ย เรียนเป็นขั้นเป็นตอน ป.1 ป.2 ไปเรื่อยๆ จนจบ ป.ตรี ป.โท เออ แบบที่สอง การศึกษานอกระบบ อันนี้คือพวก กศน. อบรมระยะสั้น เรียนตามศูนย์ต่างๆ ไม่ต้องเข้าโรงเรียนแบบเต็มตัว ได้วุฒิเหมือนกัน แบบสุดท้าย การศึกษาตามอัธยาศัย เรียนรู้ด้วยตัวเอง หาความรู้เอาเอง อ่านหนังสือ ดูยูทูป ฝึกฝนจากประสบการณ์ แบบที่เราชอบ ไม่เน้นวุฒิ แต่ได้ความรู้เพิ่ม
- ในระบบ: เหมือนแบบแผนเดิม โรงเรียน มหาลัย ตั้งแต่อนุบาลยันปริญญาเอก
- นอกระบบ: เรียน กศน. เรียนตามศูนย์ฝึกอบรม เรียนรู้เพิ่มเติมได้ ไม่ต้องเข้าโรงเรียนแบบเต็มตัว
- ตามอัธยาศัย: เรียนรู้เอง หาความรู้เอง ผ่านเน็ต ผ่านหนังสือ จากประสบการณ์ เน้นการพัฒนาตัวเอง ผมชอบแบบนี้เป็นพิเศษเลยนะ เพราะได้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจจริงๆ อย่างปีนี้ผมลองศึกษาเรื่องการทำอาหารอิตาเลี่ยนอย่างจริงจังจากยูทูป คือสนุกมาก ได้ทำกินเองด้วย มันได้ความรู้ที่นำไปใช้ได้จริงๆ
ส่วนตัวผมว่าการเรียนรู้สมัยนี้มันหลากหลายกว่าแต่ก่อนเยอะ มีช่องทางให้เข้าถึงความรู้เยอะมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องพึ่งพาตำราเรียนอย่างเดียว ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ หาข้อมูลอะไรยากมาก ต้องไปห้องสมุดตลอด แต่เดี๋ยวนี้แค่คลิกเดียวก็เจอข้อมูลเพียบ สะดวกมากๆ เลย
ระบบการศึกษาไทยมีกี่ระบบ
ระบบการศึกษาไทยแบ่งเป็น 3 ระบบหลัก ตามมาตรา 15 ของกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ คือ
-
การศึกษาในระบบ: นี่คือระบบการศึกษาที่เราคุ้นเคย มีโครงสร้างที่ชัดเจน กำหนดหลักสูตร ระยะเวลาการเรียน วิธีการสอน และเกณฑ์การประเมินผลอย่างเป็นทางการ คิดง่ายๆ เหมือนเกมที่มีกติกาตายตัว ต้องผ่านด่านต่างๆ จึงจะสำเร็จการศึกษา เช่น การเรียนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น เป้าหมายหลักคือสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของสังคม แต่ก็อาจมีข้อจำกัดเรื่องความยืดหยุ่น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างเต็มที่เสมอไป
-
การศึกษานอกระบบ: ระบบนี้มีความยืดหยุ่นมากกว่า ไม่จำกัดกรอบ หลักสูตร หรือระยะเวลาการเรียน มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนตามความสนใจ และความต้องการของแต่ละคน อาจเป็นหลักสูตรสั้นๆ การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง หรือแม้แต่การเรียนรู้ด้วยตนเอง ความสำเร็จวัดจากความก้าวหน้า ทักษะ และความรู้ที่ผู้เรียนได้มา อาจเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เป็นทางการ เช่น การฝึกอบรม การเรียนรู้จากการทำงาน หรือการเรียนออนไลน์ต่างๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามความสะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน หรือผู้ที่มีข้อจำกัดด้านเวลาหรือสถานที่
-
การศึกษาตามอัธยาศัย: นี่คือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยผู้เรียนเป็นผู้เลือกเอง ไม่ถูกบังคับ ไม่เน้นวุฒิบัตร แต่เน้นการเรียนรู้เพื่อความสุข ความพึงพอใจ และการพัฒนาตนเอง เช่น การอ่านหนังสือ การชมภาพยนตร์สารคดี การเดินทางท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น เหมือนการเดินทางค้นหาตัวเอง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การศึกษาทั้ง 3 ระบบนี้ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่เหมาะสมกับตนเอง แม้จะมีความแตกต่าง แต่ก็ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการพัฒนาศักยภาพของคนไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
(ข้อมูลเพิ่มเติม ณ ปี 2566): กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายส่งเสริมการบูรณาการและเชื่อมโยงทั้งสามระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้ และการพัฒนาคุณภาพครู เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรติดตาม เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของระบบการศึกษาไทย
ระบบการศึกษาของไทยมีกี่ระบบ อะไรบ้าง
เอ้า ถามมาก็ตอบไป! ระบบการศึกษาไทยเหรอ? มี 3 โลกให้เด็กดิ้นกันไป
-
ในระบบ: อันนี้คือโรงเรียนที่เราคุ้นเคย ครูตี นักเรียนง่วง เรียนพิเศษ! เหมือนวิ่งในเขาวงกต แต่ก็เป็นทางหลักที่คนส่วนใหญ่เลือก
-
นอกระบบ (ทางเลือก): โฮมสคูลไง! พ่อแม่เป็นครู ลูกเป็นนักเรียน ชีวิตเหมือนซีรีส์ฝรั่ง อิสระแต่ก็ต้องเก่งจริง
-
ตามอัธยาศัย (กศน.): สำหรับคนที่พลาดโอกาส หรืออยากเรียนรู้เพิ่มเติม เหมือนบุฟเฟต์ความรู้ อยากกินอะไรก็ตัก!
-
เกร็ดเล็กน้อย: รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วการศึกษาไทยเนี่ย ถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด เหมือนรถเก่าที่ซ่อมแล้วซ่อมอีก แต่ก็ยังวิ่งได้!
-
คำเตือน: อย่าคิดว่าระบบไหนดีที่สุด มันขึ้นอยู่กับ “ดวง” และ “ความชอบ” ของแต่ละคนล้วนๆ
-
คำคมประจำวันนี้: การศึกษาคือการลงทุน แต่บางทีก็เหมือนซื้อหวย!
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต