คลื่นไหวสะเทือนแบ่งออกเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง

48 การดู

คลื่นไหวสะเทือนเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาโครงสร้างโลก แบ่งเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ คลื่นปฐมภูมิ (P-wave) เคลื่อนที่เร็วที่สุด และคลื่นทุติยภูมิ (S-wave) เคลื่อนที่ช้ากว่า ทั้งสองชนิดเดินทางผ่านภายในโลก ต่างจากคลื่นพื้นผิว (surface wave) ที่เดินทางบนผิวโลกเท่านั้น การวิเคราะห์ความเร็วและการเดินทางของคลื่นเหล่านี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำแผนที่โครงสร้างภายในโลกได้อย่างแม่นยำ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

คลื่นไหวสะเทือน: เสียงสะท้อนจากใจกลางโลก

คลื่นไหวสะเทือน คือ คลื่นพลังงานที่เคลื่อนที่ผ่านโลก เกิดจากการเคลื่อนตัวอย่างฉับพลันของเปลือกโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือแม้แต่การระเบิดจากมนุษย์ คลื่นเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติที่น่ากลัว แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองทะลุชั้นหินหลายพันกิโลเมตร สู่ใจกลางโลกได้

คลื่นไหวสะเทือนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามลักษณะการเคลื่อนที่ ได้แก่:

1. คลื่นในตัวกลาง (Body wave): เดินทางผ่านภายในโลก แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ

* **คลื่นปฐมภูมิ (Primary wave หรือ P-wave):** เป็นคลื่นตามยาว เคลื่อนที่เร็วที่สุด  ทำให้มวลของตัวกลางสั่นไปมาในทิศทางเดียวกับที่คลื่นเคลื่อนที่ คล้ายกับการเคลื่อนที่ของสปริง คลื่น P-wave สามารถเดินทางผ่านได้ทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 
* **คลื่นทุติยภูมิ (Secondary wave หรือ S-wave):** เป็นคลื่นตามขวาง เคลื่อนที่ช้ากว่าคลื่น P-wave ทำให้มวลของตัวกลางสั่นในทิศทางตั้งฉากกับทิศทางที่คลื่นเคลื่อนที่ คล้ายกับการเคลื่อนที่ของคลื่นในเส้นเชือก คลื่น S-wave เดินทางผ่านของแข็งได้เท่านั้น

2. คลื่นพื้นผิว (Surface wave): เดินทางไปตามผิวโลก มีความเร็วช้าที่สุด แต่มีความรุนแรงและสร้างความเสียหายได้มากที่สุด แบ่งได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ

* **คลื่นเลิฟ (Love wave):** ทำให้พื้นผิวโลกเคลื่อนที่ไปด้านข้างในแนวราบ คล้ายกับการเลื้อยของงู 
* **คลื่นเรลีย์ (Rayleigh wave):** ทำให้พื้นผิวโลกเคลื่อนที่ทั้งขึ้น-ลง และ 앞-หลัง คล้ายกับการเคลื่อนที่ของคลื่นในทะเล

นักวิทยาศาสตร์ใช้ seismograph บันทึกความแรงและเวลาที่คลื่นไหวสะเทือนชนิดต่างๆ เดินทางถึงเครื่องวัด โดยอาศัยความแตกต่างของความเร็วและรูปแบบการเดินทางของคลื่นแต่ละชนิด รวมถึงการหักเหและสะท้อนของคลื่นเมื่อเคลื่อนที่ผ่านชั้นหินที่มีสมบัติต่างกัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพสามมิติของโครงสร้างภายในโลกได้อย่างละเอียด

ตัวอย่างเช่น การที่ไม่พบคลื่น S-wave ปรากฏในฝั่งตรงข้ามของโลกหลังเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่าแก่นโลกชั้นนอกประกอบด้วยของเหลว ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของโลก

ดังนั้น คลื่นไหวสะเทือน จึงไม่ใช่แค่เพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็นเสมือน “เสียงสะท้อนจากใจกลางโลก” ที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจถึงต้นกำเนิดและโครงสร้างของโลกได้ดียิ่งขึ้น