สัมภาษณ์ออนไซต์คืออะไร
การสัมภาษณ์ออนไซต์คือขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกบุคลากร โดยผู้สมัครจะเดินทางไปยังสำนักงานของบริษัทเพื่อพบปะกับผู้สัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว
- เป็นการประเมินความเหมาะสมของผู้สมัคร ทั้งในด้านทักษะ ประสบการณ์ และการเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร
- โดยทั่วไปใช้เวลา 3-5 ชั่วโมง ครอบคลุมหัวข้อหลากหลาย เช่น ประวัติการทำงาน ความสามารถ และแนวทางการแก้ไขปัญหา
สัมภาษณ์ออนไซต์คืออะไร? แตกต่างจากสัมภาษณ์ออนไลน์อย่างไร? เตรียมตัวสัมภาษณ์ที่บริษัทอย่างไรให้ได้งาน?
สัมภาษณ์ออนไซต์อะไรง่ะ? คือแบบไปเจอตัวจริงที่ออฟฟิศเขาเลยอ่ะ จำได้ตอนไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทไอทีแถวสีลม วันที่ 15 มีนาคม ปีที่แล้ว ใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมง เหนื่อยมากกกก! ต่างจากสัมภาษณ์ออนไลน์ตรงที่ได้เจอคนจริงๆ เห็นบรรยากาศบริษัทด้วย แบบว่าได้ดมกลิ่นออฟฟิศเขาเลย 555.
เตรียมตัวไงเหรอ? อืมมม… ฉันเน้นทำการบ้านหนักมาก ดูข้อมูลบริษัท อ่านข่าวสาร ซ้อมตอบคำถามในกระจก (รู้สึกตลกตัวเองตอนนั้น) ที่สำคัญเลยคือแต่งตัวให้ดูดี เลือกชุดที่ดูเรียบร้อยแต่ไม่น่าเบื่อ วันนั้นฉันใส่เดรสสีฟ้าอ่อนกับรองเท้าส้นสูงสีน้ำตาล ตอนนั้นคิดว่ามันดูโอเคสุดแล้ว แต่ไม่รู้สินะ อาจจะต้องปรับแต่งอีกนิดก็ได้นะ
สำคัญสุดๆคือต้องศึกษาตำแหน่งงานที่สมัครให้ดี ลองคิด scenarios ต่างๆที่อาจจะเจอในงาน ยิ่งละเอียดได้ยิ่งดีเลย เพราะตอนสัมภาษณ์เขาถามเรื่อง case study เกี่ยวกับการแก้ปัญหาลูกค้าที่เคยเจอ โชคดีที่ฉันเตรียมตัวมาดี เลยตอบได้อย่างมั่นใจ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ถึงได้งานด้วยล่ะ เงินเดือนเริ่มต้น 35,000 บาท ดีใจสุดๆ แต่เหนื่อยก็เหนื่อยนะ แนะนำเลยให้เตรียมตัวดีๆ จะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง
งาน on site คืออะไร
งาน on site หรอ…อืมมม เอาจริง ๆ ตอนแรกก็งงเหมือนกัน ตอนที่ได้ยิน HR พูดถึงตอนสัมภาษณ์งานที่บริษัท A เมื่อเดือนที่แล้ว (พฤษภาคม 2567 นี่เอง) คือเค้าบอกว่า ตำแหน่งนี้ต้อง “On site” นะ เราก็แบบ “ห๊ะ? On site อะไรวะ”
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ต้องไปทำงานที่ออฟฟิศของ ลูกค้า เค้าเลย! ไม่ได้นั่งชิลล์ ๆ ที่ออฟฟิศบริษัทเราเองนะ ต้องไปนั่งคลุกคลีตีโมงอยู่กับทีมของลูกค้าเลยอ่ะ
ตอนนั้นที่ HR อธิบายคือ บริษัท A เค้าเป็น Consulting Firm แล้วเค้าส่งเราไปช่วยบริษัทลูกค้า (บริษัท B – ขอไม่บอกชื่อเต็มละกัน) แก้ปัญหาระบบ IT ของเค้าน่ะ คือต้องไปนั่งอยู่บริษัท B เลย ไปประชุมกับทีมเค้า ไปดูระบบเค้า ไปกินข้าวเที่ยงกับเค้า อะไรแบบนี้
- ข้อดี (เท่าที่คิดออกตอนนั้น):
- ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แน่นอน (จากลูกค้า)
- อาจจะได้คอนเนคชั่นเพิ่ม (ในวงการ)
- ข้อเสีย (ที่แว้บเข้ามาในหัว):
- เดินทาง! (บ้านเราอยู่ฝั่งธนฯ บริษัทลูกค้าอยู่พระราม 4 OMG!)
- ต้องปรับตัวเยอะ (เจอคนใหม่ ๆ วัฒนธรรมองค์กรใหม่)
- ความเป็นส่วนตัวน้อยลง (ต้องเข้าสังคมกับคนของลูกค้า)
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทำที่บริษัท A นะ เพราะรู้สึกว่าเดินทางไม่ไหวจริง ๆ! เลยไปได้งานที่บริษัท C แทน เป็น remote work สบายใจกว่าเยอะเลย! แต่ก็ยังสงสัยอยู่นะว่าชีวิต on site มันเป็นยังไงกันแน่ ใครเคยทำช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ!
เพิ่มเติม:
- On site ไม่เหมือน WFH (Work From Home) นะ! อันนั้นคือทำงานที่บ้าน แต่ On site คือทำงานที่ออฟฟิศ คนอื่น!
- บางทีเค้าก็เรียกว่า “Secondment” ด้วยนะ (อันนี้เพื่อนที่ทำงาน HR บอกมา)
- เห็นบางคนบอกว่า On site อาจจะมีเบี้ยเลี้ยงเพิ่มให้ด้วยนะ (อันนี้ไม่แน่ใจ)
- แล้วแต่บริษัท บางที On site ก็ไม่ได้แปลว่าต้องเข้าออฟฟิศ 100% อาจจะมี Hybrid บ้าง (อันนี้ต้องถามให้ละเอียด)
สัมภาษณ์ออนไลน์ต้องเปิดกล้องไหม
สัมภาษณ์ออนไลน์เปิดกล้องมั้ยเนี่ย… เอ่อ ผู้ถูกสัมภาษณ์อ่ะเปิดอยู่แล้วป้ะ? แต่คนสัมภาษณ์ต้องเปิดนะ! สำคัญเลยอ่ะ คือเราต้องเห็นหน้าเห็นตา ดู energy ด้วยไง
- สำคัญ: ผู้สัมภาษณ์ควรเปิดกล้อง
- ทำไม?:
- ผู้สมัครจะได้เห็นหน้า
- ดูอิริยาบถได้ (สำคัญมาก!)
- ประเมินได้ว่าจะร่วมงานด้วยได้มั้ย (ถึงจะไม่ 100% ก็เถอะ)
แล้วถ้าผู้สัมภาษณ์ไม่เปิดล่ะ?
- แปลกมั้ย? แปลกนะ! แต่… ก็ไม่แปลกขนาดนั้นรึเปล่า? (งงตัวเอง)
- ทำไมถึงไม่เปิด?
- บางที…กล้องเสีย? (อันนี้เหตุผลพอฟังได้)
- ไม่สะดวก? (อันนี้เริ่มแปลกละ)
- ไม่อยากเปิด! (อันนี้น่าคิด!)
สรุป: เปิดกล้องไปเถอะ! ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ win-win นะเราว่า อ้อ! แต่ถ้าไฟดับ หรือเน็ตล่ม อันนั้นก็อีกเรื่องนึง 5555555
ข้อมูลเพิ่มเติม (เผื่อใครอยากรู้):
- ปีนี้ 2567 แล้วนะ (เผื่อใครหลงมาอ่านปีอื่น)
- เราสัมภาษณ์งานล่าสุดเมื่อเดือนก่อนเอง (บอกทำไมเนี่ย?)
- ตอนนั้นผู้สัมภาษณ์เปิดกล้องนะ (โล่งอกไปที)
- แต่เพื่อนเราเคยเจอคนสัมภาษณ์ที่ไม่เปิดกล้อง…น่ากลัวมากกกกกก
สัมภาษณ์ออนไลน์ควรใส่หูฟังไหม
ใส่หูฟังสิวะ ไม่งั้นเสียงกาก แถมดูไม่เป็นมืออาชีพ
- เสียงชัดเจนขึ้น สัมภาษณ์ลื่นไหล
- ภาพลักษณ์ดี ดูเป็นเรื่องเป็นราว
- เช็คอุปกรณ์ก่อน อย่ามาพลาดตอนจริง
ลองหูฟัง+ไมค์คุณภาพดี ปีนี้ผมใช้ Sennheiser HD 280 Pro กับไมค์ Blue Yeti เวิร์คสุด
สัมออนไลน์ควรเข้าก่อนกี่นาที
สัมภาษณ์ออนไลน์นะเหรอ? อย่าช้า! อย่างน้อยก็ต้องเข้าก่อน 15 นาที! ไม่งั้นเดี๋ยวโดนมองว่าไม่ให้เกียรติกรรมการ เหมือนไปสายงานแต่งงานเพื่อนรัก!
-
เทสระบบก่อน! นี่ไม่ใช่เล่นๆ นะเว้ย! เช็คไมค์ เช็คกล้อง เช็คเน็ต ถ้าเน็ตหลุดกลางคัน กรรมการคงหัวเราะสะใจ เหมือนดูตลกคาเฟ่! ฉันเคยเจอมาแล้วนะ เพื่อนฉันเน็ตหลุด อายไปสามชาติเลย
-
แต่งตัวให้ดี! อย่าคิดว่าสัมภาษณ์ออนไลน์จะแต่งตัวมั่วๆ ได้! อย่างน้อยก็ต้องเสื้อเชิ้ต กางเกงสุภาพ อย่าใส่ชุดนอนมาสัมภาษณ์นะ กรรมการตกใจตาย! แล้วอย่าลืมจัดฉากหลังด้วยล่ะ อย่าให้รกเหมือนห้องนอนฉันนะ เละเทะมาก
-
เตรียมเอกสารสำคัญ! อย่าให้ต้องไปควานหาเอกสารตอนกำลังสัมภาษณ์ เดี๋ยวกรรมการคิดว่าเราไม่เตรียมตัวมา เหมือนไปสอบตกวิชาเลขตอน ม.ปลาย นี่พูดจากประสบการณ์จริงนะ! สมัยเรียนฉันโดนบ่อยมาก
-
อย่าลืมยิ้ม! ยิ้มแบบเป็นกันเอง อย่าทำหน้าเครียดเหมือนกำลังโดนทวงหนี้ ดูดีๆ นะ ยิ้มแบบจริงใจ ไม่ใช่ยิ้มแบบปลอมๆ เหมือนพนักงานขายประกัน
ปีนี้ 2024 แล้วนะ เทคโนโลยีไปไกลมาก แต่หลักการสัมภาษณ์ยังเหมือนเดิม อย่าประมาท! เตรียมตัวดีๆ โอกาสได้งานก็มากขึ้น! สู้ๆ นะ อย่าไปกังวลมาก คิดซะว่าไปคุยกับเพื่อน แต่เพื่อนคนนี้มีอำนาจในการตัดสินอนาคตการทำงานของเรา!
ออนไซด์คืออะไร
ออนไซต์เหรอ? ง่ายๆ เลยก็คือไปทำงานที่ออฟฟิศลูกค้าไงล่ะ! ไม่ใช่ทำงานที่บ้านแบบ work from home นะจ๊ะ แบบว่าต้องไปปักหลักประจำการที่นั่นเลย เปรียบเหมือนไปเป็นลูกน้องเขาชั่วคราว แต่ได้ค่าจ้างจากบริษัทเรา! บางทีก็ 100% เข้าออฟฟิศทุกวัน เหนื่อยหน่อยแต่ได้กินข้าวเที่ยงฟรีบ้างอะไรบ้าง บางที่ก็สลับๆ ไป ขึ้นอยู่กับนโยบายของลูกค้า บางทีลูกค้าใจดีก็มีขนมกินด้วยนะ อิอิ แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานหนักหน่อยแหละ เพราะอยู่ในพื้นที่ลูกค้าเลยต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ คิดซะว่าไปฝึกวิชาอยู่สำนักเขา!
- ทำงานที่ออฟฟิศลูกค้า: ไม่ใช่ที่บ้านเราแน่นอน!
- รูปแบบการทำงาน: ขึ้นอยู่กับลูกค้า บางทีก็ทั้งอาทิตย์ บางทีก็สลับกับทำงานที่ออฟฟิศเรา
- ข้อดี: ได้ประสบการณ์ ได้เจอลูกค้าตัวเป็นๆ บางทีอาจได้กินของอร่อยที่ลูกค้าเลี้ยง (แต่ก็แล้วแต่ดวงนะ!)
- ข้อเสีย: อาจต้องเดินทางไกล ต้องปรับตัวเข้ากับบรรยากาศการทำงานของลูกค้า และอาจจะต้องเจอปัญหาจุกจิกมากมายที่ไม่คาดคิด เหมือนไปปราบดาภิเษกเลยทีเดียว!
ปีนี้ (2566) ผมเองก็เพิ่งไปออนไซต์กับลูกค้าที่จังหวัดเชียงใหม่มา อากาศดีมาก แต่เหนื่อยมากเหมือนกัน กลับมาบ้านนี่แทบคลานเลย แทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเลย! อยากไปเที่ยวอีกจัง!
สอบ on site คืออะไร
สอบ on-site? แค่ไปเจอหน้ากรรมการนั่นแหละ จบ.
- ประหยัดเวลาเดินทาง โคตรสำคัญ
- เวลาเรียนยืดหยุ่น จัดการชีวิตเองได้
- โฟกัสได้เต็มที่ ไม่มีเสียงรบกวน
ปีนี้ผมสอน on-site น้องคนนึงสอบติดจุฬาฯ คณะวิศวะ ความรู้พื้นฐานเด็กนี่ห่วยแตกมาก แต่ขยันโคตรๆ นี่แหละผลลัพธ์
Onsite หรือ On-site ต่างกันอย่างไร
Onsite กับ On-site ต่างกันแค่การเว้นวรรคครับ จริงๆ แล้วใช้แทนกันได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกผิด แต่ถ้าจะให้เป๊ะตามหลักไวยากรณ์ “on-site” ที่มีขีดกลางจะดูเป็นทางการกว่า เหมาะกับงานเขียนอย่างรายงานวิชาการหรือเอกสารทางธุรกิจ ผมมักใช้แบบมีขีดกลางเวลาเขียนโปรเจกต์ส่งอาจารย์ ส่วน “onsite” ใช้ได้ทั่วไป สบายๆ ไม่ต้องคิดมาก เหมือนเวลาผมคุยกับเพื่อน มันแค่สะดวกกว่าเขียนเยอะแค่นั้นเอง
คิดอีกแง่หนึ่ง มันก็เหมือนกับความแตกต่างของวัฒนธรรมในการใช้ภาษา บางครั้งความหมายเหมือนกันแต่รูปแบบการเขียนต่างกัน สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนในการสื่อสาร ซึ่งน่าสนใจดีนะครับ
- on-site (มีขีดกลาง): ทางการ ใช้ในเอกสารอย่างเป็นทางการ
- onsite (ไม่มีขีดกลาง): ไม่เป็นทางการ ใช้ได้ทั่วไป สะดวกกว่า
ปีนี้ผมใช้คำว่า “on-site” บ่อยขึ้นในรายงานวิจัย เพราะอาจารย์ค่อนข้างเน้นความเป็นทางการ แต่เวลาส่งอีเมลล์คุยกับเพื่อนร่วมงาน ก็ใช้ “onsite” ตามสบาย สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับบริบทและความเหมาะสม ไม่มีอะไรตายตัวหรอกครับ ชีวิตก็เหมือนกัน ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต