น้ำตาลอะไรอันตรายสุด
น้ำตาลฟรุกโตส: อันตรายกว่าน้ำตาลชนิดอื่น
วิจัยพบฟรุกโตสเป็นอาหารหลักของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ (หนูทดลอง) เสี่ยงต่อมะเร็งปอด ตับอ่อน เม็ดเลือด ระดับสูงเพิ่มไตรกลีเซอไรด์เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรลด ละ เลิก บริโภค เพื่อสุขภาพที่ดี
น้ำตาลชนิดไหนร้ายแรงที่สุดต่อสุขภาพ? มีผลเสียอย่างไรบ้าง?
ส่วนตัวคิดว่าน้ำตาลฟรุกโตส น่ากลัวสุดนะ. เคยอ่านเจอเรื่องงานวิจัยที่ใช้หนูทดลอง เขาว่ามันไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่.
จำได้ว่าตอนนั้นอ่านข่าวนี้แล้วตกใจมาก. เลยเริ่มระวังการกินน้ำหวานต่างๆ มากขึ้น. เพราะส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลฟรุกโตส.
เมื่อเดือนที่แล้วไปเดินห้างแถวบ้าน. เห็นน้ำผลไม้ปั่นร้านประจำขึ้นราคาแก้วละ 5 บาท. ถามคนขาย เขาบอกว่าเพราะน้ำตาลฟรุกโตสแพงขึ้น.
แล้วก็ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่บอกว่า. ฟรุกโตสทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้อีก. เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือด.
แถมยังเพิ่มไตรกลีเซอไรด์ในเลือดอีก. ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด. เยอะแยะไปหมด.
ตอนนี้เลยพยายามกินผลไม้สดแทนน้ำผลไม้. แม้จะอยากกินของหวานๆ บ้าง. แต่เพื่อสุขภาพก็ต้องอดทน.
น้ำตาลแย่ยังไง
น้ำตาล? เลิกคิดว่ามันหวาน คิดถึงโรคเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิวเห่อ แล้วจะเลิกอยาก. อยากปวดหัว ตะคริว ผื่นคัน แผลพุพอง ริดสีดวง เชิญโซ้ย. หยุดกิน หยุดป่วย.
- เบาหวาน: อินซูลินทำงานหนักเกิน ร่างกายพัง.
- โรคหัวใจ: ไขมันพอกตับ เส้นเลือดอุดตัน.
- มะเร็งตับ: เซลล์ผิดปกติ ลุกลาม ตาย.
- สิว: อักเสบ ติดเชื้อ หน้าพัง.
- ปวดหัว: น้ำตาลในเลือดแกว่ง สมองรวน.
- ตะคริว: เกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล.
- ผื่นคัน: ระบบภูมิคุ้มกันรวน.
- ริดสีดวง: ท้องผูก เบ่งแรง.
ปีนี้ผมเลิกน้ำตาลแล้ว รู้สึกดีกว่าเยอะ. ลองดูดิ.
น้ำตาลอันตรายแค่ไหน
น้ำตาลอันตรายต่อสุขภาพในหลายระดับ ส่วนตัวผมว่าเหมือนดาบสองคม ใช้ดีก็ดี ใช้มากไปก็มีปัญหา เคยอ่านงานวิจัยปี 2023 พบว่าการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายโรค ผมกังวลเรื่องนี้มาก เพราะคนรอบตัวก็ติดหวานเยอะ
- โรคอ้วน: น้ำตาลให้พลังงานสูง แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ กินเยอะ น้ำหนักขึ้น อ้วนลงพุงแน่นอน เคยเห็นเพื่อนผมกินน้ำอัดลมวันละเป็นลิตรๆ ตอนนี้ลงพุงไปแล้ว
- เบาหวานชนิดที่ 2: น้ำตาลส่วนเกินในเลือดทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก นานๆ ไป ตับอ่อนก็พัง อินซูลินก็หลั่งได้น้อยลง กลายเป็นเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: น้ำตาลทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว หัวใจทำงานหนักขึ้น อาจเป็นโรคหัวใจได้ ผมเคยอ่านเจอว่าคนที่กินน้ำตาลเยอะ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า
- โรคตับ: ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็นไขมัน สะสมในตับ เป็นไขมันพอกตับ อาจนำไปสู่โรคตับแข็งได้ อันนี้น่ากลัวมาก
- ฟันผุ: แบคทีเรียในช่องปากใช้น้ำตาลเป็นอาหาร ผลิตกรดที่กัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ อันนี้เห็นได้ชัดเลย เด็กๆ ที่ชอบกินขนมหวาน ฟันผุง่ายมาก
เราควบคุมปริมาณน้ำตาลที่บริโภค ผมว่าต้องเริ่มจากตัวเองก่อน อย่างผมก็พยายามลดน้ำหวาน เปลี่ยนมากินผลไม้แทน รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
1วันน้ำตาลไม่ควรเกินกี่กรัม
โอ๊ย! เรื่องน้ำตาลนี่มันเหมือนยาพิษเคลือบน้ำผึ้งชัดๆ! กินเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็ลงพุงเป็นโอ่งมังกรแล้ว
- เด็กเล็ก (6-13 ขวบ): อย่าให้เกิน 4 ช้อนชา! ไม่งั้นจะซนเป็นลิงค่าง กระโดดโลดเต้นจนพ่อแม่จับใส่กรงเลยเอ้า!
- วัยรุ่น (14-25 ขวบ): หนุ่มๆ สาวๆ ซ่าได้ 6 ช้อนชา แต่ระวัง! กินเยอะสิวจะขึ้น หน้าจะมัน ปิ๊งใครก็ไม่ติดนะจ๊ะ!
- วัยทำงาน (25-60 ขวบ): ป้าๆ ลุงๆ ทั้งหลาย 4-6 ช้อนชาพอ! มากกว่านี้เบาหวานถามหา หาหมอกันหัวโตแน่!
แล้วทำไมต้องจำกัดน้ำตาลขนาดนี้?
- เบาหวาน: ตัวร้ายอันดับหนึ่ง! น้ำตาลเยอะๆ ตับอ่อนทำงานหนัก สุดท้ายก็พัง!
- โรคอ้วน: กินหวานมากไป ไขมันก็มาเพียบ! พุงป่อง เดินเหินลำบาก ใส่เสื้อผ้าก็ไม่สวย!
- ฟันผุ: แบคทีเรียชอบน้ำตาล! มันจะกัดกินฟันเราจนเป็นรู โอย! เสียวฟัน!
- แก่เร็ว: น้ำตาลทำลายคอลลาเจน! ผิวเหี่ยว หน้าแก่ก่อนวัยอันควร ใครอยากเป็นป้าก่อนเพื่อนบ้าง?
คำเตือน: อย่าคิดว่าน้ำตาลมีแต่ในขนมหวาน! น้ำอัดลม ชาเย็น กาแฟเย็น อาหารแปรรูป สารพัดมีน้ำตาลแอบแฝง! อ่านฉลากโภชนาการให้ดีๆ นะจ๊ะ!
คนเราควรได้รับน้ำตาลกี่กรัม
เรื่องน้ำตาลนี่ กูเครียดมาก ปีนี้เองนะ ไปตรวจสุขภาพที่ รพ.กรุงเทพ พระโขนง หมอบอกระดับน้ำตาลในเลือดสูง ตกใจเลย ทั้งๆที่กูก็ไม่ได้กินหวานอะไรมากมาย แต่คิดๆดู กาแฟแก้วละ 4 ช้อน นี่ก็ไปหลายกรัมแล้วนะ ข้าวเหนียวมะม่วงที่ตลาดนัดแถวบ้าน สัปดาห์ละสองครั้ง โอ๊ยยยย นี่แค่สองอย่างเองนะ
- กาแฟใส่น้ำตาลเยอะมาก นี่แหละตัวดี
- ข้าวเหนียวมะม่วง กินบ่อยเกิน หวานจัด
- น้ำอัดลม แทบไม่แตะ แต่เพื่อนชวน ก็ไปบ้าง ปีนี้ไปน้อยลงแล้ว
หลังจากหมอเตือน กูเลยลดละเลิก กาแฟ ลดเหลือช้อนเดียว ข้าวเหนียวมะม่วง ลดเหลืออาทิตย์ละครั้ง รู้สึกดีขึ้นนะ ไม่ค่อยอ่อนเพลีย แต่ก็ยังอยากกินอยู่ดี อารมณ์แบบ อยากกินแต่รู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ มันเป็นความรู้สึกที่แย่ แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องฝืนใจตัวเอง แต่ยังไงก็ต้องลด เพื่อสุขภาพตัวเอง ปีหน้า จะต้องลดให้ได้มากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ เสียเงินอีก
WHO บอกไม่เกิน 24 กรัม แต่คนไทยกินกันร้อยกรัม โหดมาก กูก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นแหละ ตอนนี้ กำลังพยายาม แต่ก็ยังไม่ได้ถึงเป้า ยังอยากกินของหวานอยู่ คงต้องค่อยๆปรับ ค่อยๆลด ต่อไป
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต