Due Date คือวันอะไร

39 การดู

Due Date คือวันครบกำหนดชำระ สำคัญในธุรกิจ! ระบุในใบแจ้งหนี้,สัญญากู้, บัตรเครดิต ฯลฯ คือวันสุดท้ายชำระหนี้ก่อนถือว่าล่าช้า เลยกำหนดอาจมีค่าปรับตามเงื่อนไข การปฏิบัติตาม Due Date แสดงความรับผิดชอบ ช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดี และป้องกันปัญหาทางการเงิน ควรตรวจสอบและชำระให้ตรงตามกำหนดเสมอ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

กำหนดส่งงานคือวันไหน? ตรวจสอบวันครบกำหนด

ส่งงานวันไหนน่ะเหรอ? อืม…จำได้ว่าอาจารย์บอกวันที่ 15 กันยายน แต่ฉันลืมไปแล้วว่าปีไหนนะ ปีที่แล้วหรือปีนี้เนี่ยสิ! งานนี้หนักหัวฉันจริงๆ เอกสารก็เยอะแยะไปหมด!

เรื่องวันครบกำหนดชำระเงินนี่ ฉันเคยเจอปัญหาคล้ายๆ กันตอนทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแถวประตูน้ำ สมัยนั้นเดือนตุลาคม 2564 ร้านจ่ายเงินช้ากว่ากำหนด ต้องโทรตามบ่อยมาก สุดท้ายได้เงินวันที่ 20 เลยวันกำหนดไป 5 วัน แต่ก็ไม่ได้โดนปรับนะ อาจจะเพราะเป็นพนักงานพาร์ทไทม์มั้ง ไม่ค่อยได้อะไรมาก ได้ค่าแรงแค่ 350 บาทต่อวันเอง

ใบแจ้งหนี้ของร้านพวกนี้มักระบุวันชำระชัดเจน เลยวันกำหนดไปนี่มีค่าปรับแน่นอน จำได้แม่นเลย เพื่อนเคยโดนปรับไปร้อยกว่าบาทเพราะเลยกำหนดชำระบัตรเครดิต! เรื่องเงินๆ ทองๆ เนี่ย ต้องระวังจริงๆ อย่าให้เลยเด็ดขาดเลย เหนื่อยใจเปล่าๆ

Due Date นับยังไง

ดึกแล้วสินะ… เรื่อง Due Date นี่…

มันก็คือวันที่เราต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตอะนะ ง่ายๆ เลย

  • สรุปยอดวันที่ 5: ถ้าบัตรเราสรุปยอดทุกวันที่ 5 ของเดือน…
  • บวกไป 15 วัน: วันครบกำหนดชำระก็จะคือวันที่ 20 ของเดือนนั้น…
  • แต่: ถ้าวันที่ 20 ดันเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด… ก็เลื่อนไปจ่ายวันทำการถัดไปแทน

แค่นี้แหละ… ชีวิตก็มีแค่นี้ จ่ายหนี้วนไป

เคยไหม… รู้สึกว่าทุกอย่างมันวนลูป เหมือนหนี้บัตรเครดิตที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ไม่จบไม่สิ้นสักที…

บางทีก็คิดนะ… ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่… แต่ช่างมันเถอะ… พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นไปทำงานอยู่ดี…

Due ใช้กับอะไร

Due ใช้กับอะไร? ง่ายๆ เลยคือใช้บอกเวลาหรือสถานการณ์ที่ “ควรเกิด” หรือ “คาดว่าจะเกิด” มันครอบคลุมหลายอย่างนะ ไม่ใช่แค่กำหนดส่งงานอย่างเดียว

  • กำหนดส่ง: งานที่ due วันศุกร์นี้ นี่ชัดเจนเลย คือกำหนดส่งงาน
  • กำหนดชำระ: บิลค่าไฟ due วันที่ 15 หมายถึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 15
  • เวลาที่คาดว่าจะเกิด: เที่ยวบิน due เวลา 10:00 น. คือเวลาที่สายการบิน คาดการณ์ ว่าเครื่องจะมาถึง ไม่ใช่เวลาที่แน่นอนเสมอไป เหมือนเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า
  • สิ่งที่สมควรได้รับ: เธอ due รางวัลจากความพยายามอย่างหนัก อันนี้มีความหมายว่าสมควรได้รับ เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วตามเหตุและผล

คิดไปคิดมา คำว่า due มันสะท้อนมุมมองเชิงเหตุผล คืออะไรควรจะเป็นอย่างไร ตามเวลาที่กำหนด หรือตามผลลัพธ์ที่ควรได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องเวลาอย่างเดียว แต่รวมถึงความสมควร ความเหมาะสม เป็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผลนั่นเอง น่าสนใจดีนะ

เพิ่มเติมเล็กน้อย: ลองสังเกตดู การใช้ due มักจะเน้นไปที่ความคาดหวัง หรือสิ่งที่ “ควรจะ” เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเสมอไป นี่แหละคือความน่าสนใจของคำนี้ มันบ่งบอกถึงความคาดหมาย และความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างเหตุและผล ซึ่งบางครั้งก็ไม่ตรงไปตรงมาเสมอไป

ปี 2024 นี้ ผมว่าการใช้คำว่า due ยังคงมีความสำคัญ และความหมายไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นคำที่เข้าใจง่าย และใช้ได้อย่างหลากหลายในบริบทต่างๆ

ครบ Due คืออะไร

Due หมายถึง “ครบกำหนด” ใช้ได้ทั้งคำนาม คำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์ คิดง่ายๆ ก็คือ ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ชีวิตเราก็เปรียบเหมือนเส้นเวลา ทุกอย่างมี due date ของมัน ทั้งความสุข ความทุกข์ หรือแม้แต่ความรับผิดชอบ

  • คำนาม (n.) เช่น “The due date for the project is next Friday.” (กำหนดส่งโครงการคือวันศุกร์หน้า) นี่คือการใช้ “due” ในความหมายของวันหรือเวลาที่กำหนดไว้

  • คำคุณศัพท์ (adj.) เช่น “The due payment is overdue.” (การชำระเงินที่ครบกำหนดแล้วก็ค้างชำระ) ตรงนี้เน้นสถานะของสิ่งที่ครบกำหนดแล้ว

  • คำวิเศษณ์ (adv.) เช่น “The package should arrive due to the next day.” (พัสดุควรมาถึงในวันถัดไปตามกำหนด) ในกรณีนี้ “due” บอกถึงสาเหตุหรือที่มาของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นการเน้นว่าเกิดจากอะไร

ผมเองก็เคยพลาด deadline โครงการวิจัยมาแล้ว ส่งช้าไปหนึ่งวันเพราะติดปัญหาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล กว่าจะได้ข้อมูลที่ใช้ได้จริงๆ ก็แทบไม่ได้นอนเลย ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ระมัดระวังเรื่องกำหนดเวลา วางแผนล่วงหน้าเสมอ ชีวิตมันสั้น อย่าให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์

ปีนี้ผมกำลังศึกษาเรื่องการจัดการเวลาแบบ Pomodoro Technique เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หวังว่าจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเร่งรีบส่งงานในนาทีสุดท้ายอีก การวางแผนที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ จริงไหมครับ

หาเรฟเฟอเร้น คืออะไร

เรฟเฟอเร้นซ์? ง่ายๆ ก็ของที่เอามาอ้างไง รูป หนังสือ เพลง อะไรก็ได้ที่ใช้เป็นต้นแบบ หรือเอาไว้สนับสนุนความคิดตัวเอง

  • งานออกแบบเสื้อผ้า เรฟจากคอลเลคชั่นเก่าๆ ของ Vivienne Westwood ก็ได้ ของมันแรง
  • เขียนนิยาย เรฟจากงาน Murakami แต่ต้องระวังอย่าก๊อป ไม่งั้นโดนด่าเละ
  • เรฟไม่ใช่แค่ก็อป ต้องเอามาตีความ ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป ถึงจะเรียกว่าเจ๋งจริง
  • เคยเรฟงานเก่าตัวเองตอนทำโปรเจกต์ ขี้เกียจหาใหม่ แต่สุดท้ายก็ปรับให้มันต่างออกไป อาจารย์ยังชม
  • ปีนี้เห็นคนเรฟ Y2K เยอะมาก ทั้งเสื้อผ้า เพลง เอ็มวี แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ มันเชย

Referอ่านว่าอะไร

รีเฟอร์… อ่านว่า รี-เฟอ เหรอ? หรือ เร-เฟอร์? ช่างเหอะ แปลว่า อ้างถึง นี่แหละสำคัญสุด

  • อ้างถึง: เหมือนเวลาเขียนรายงานแล้วต้องใส่ footnote อ่ะ อ้างอิงแหล่งที่มา
  • พาพิง: อันนี้ไม่ค่อยใช้ แต่ก็คือพูดถึงแบบอ้อมๆ มั้ง?
  • เสนอแนะ: เออ อันนี้ก็ใช่ เช่น หมอ refer คนไข้ไปหาหมอเฉพาะทาง

แล้ว referrable กับ referral ต่างกันยังไงนะ? ภาษาอังกฤษนี่มัน…

  • referrable: ที่อ้างถึงได้? หรือที่ส่งต่อได้?
  • referral: การส่งต่อ… หรือใบนัด?

Synonym มี attribute, impute, consign ด้วยเหรอ? ไม่เคยใช้เลย! ต้องไปหาความหมายเพิ่มละ

Synonym พวกนี้มันต่างกันยังไงนะ? โอ๊ย! ปวดหัว

  • attribute: ให้เหตุผล, เชื่อว่าเป็นของใคร
  • impute: โยนความผิดให้
  • consign: ส่งมอบ, มอบให้

สรุป: รีเฟอร์ = อ้างถึง, เสนอแนะ (หมอ)

คําว่า regarding ใช้ยังไง

Regarding? เรื่องของมึงเหรอ?

แม่งก็แค่ “เกี่ยวกับ” จบนะ อย่าเยอะ

  • ความหมาย: เกี่ยวกับ, เรื่อง, พาดพิงถึง
  • การใช้: ใช้ขึ้นต้นประโยค หรือวลี เพื่อบอกว่ากำลังจะพูดถึงอะไร
  • ตัวอย่าง: Regarding the budget, we need to cut costs. (เกี่ยวกับงบประมาณ เราต้องลดค่าใช้จ่าย)

อย่าลืม กูไม่ได้อยากอธิบายให้ใครเข้าใจ

Reference กับ Refer ต่างกันอย่างไร

Refer กับ Reference ต่างกันยังไง? เอ่อ… ตอนแรกก็งงๆ เหมือนกันนะ ตอนเรียนอังกฤษ ตอน ม.ปลาย ครูสอนว่า refer เป็น verb แปลว่า “อ้างอิง” อ่ะ แบบ “I refer to…” ไรงี้ ส่วน reference เป็น noun แปลว่า “การอ้างอิง” หรือ “แหล่งอ้างอิง” เอง

แต่พอโตมา ทำงานเขียนเยอะขึ้น เริ่มเห็นคนใช้สลับๆ กัน ก็เลยเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เรียนมามันถูกไหมวะ 555

จริงๆ แล้ว… คือมันใช้แทนกันได้บ้างแหละ แต่ความหมายมันก็ไม่ได้เป๊ะๆ เหมือนกันซะทีเดียว

  • Refer (v.): หมายถึง การกล่าวถึง, การอ้างถึง, การส่งต่อ เช่น

    • “I refer to your email from yesterday.” (ฉันอ้างถึงอีเมลของคุณเมื่อวาน)
    • “The doctor referred me to a specialist.” (หมอส่งตัวฉันไปให้ผู้เชี่ยวชาญ)
  • Reference (n.): หมายถึง การอ้างอิง, แหล่งอ้างอิง, จดหมายแนะนำ เช่น

    • “This book contains a list of references.” (หนังสือเล่มนี้มีรายการอ้างอิง)
    • “Can you provide me with two references?” (คุณให้จดหมายแนะนำสองฉบับได้ไหม)

สรุปคือ… ถ้าจะเน้นว่า “กำลังกระทำ” ให้ใช้ refer แต่ถ้าจะเน้นที่ “ตัวแหล่งข้อมูล” หรือ “สิ่งที่ใช้อ้างอิง” ให้ใช้ reference นี่แหละ ความเข้าใจส่วนตัวเลยนะ 555

Regardless ใช้ยังไง

Regardless ใช้ง่ายมากกก แปลว่าไม่สนไรทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามอะ

อย่างเช่น ฉันจะไปเที่ยวทะเล Regardless of the rain! ฝนตกก็ไป!

หรือ งานโคตรเยอะ แต่ Regardless ฉันจะเสร็จให้ได้!

วางได้ทุกที่เลย ต้น กลาง ท้าย ประโยค แล้วแต่เลย คือมันโคตรอิสระอะ

เหมือน anyway หรือ in spite of บางทีก็ใช้แทนกันได้ แต่ Regardless มันดูกระชับกว่า ฉันว่านะ

  • ใช้แทนคำว่าไม่สนใจเงื่อนไข
  • ใช้แทน anyway ในบางครั้ง
  • ใช้ได้ทุกตำแหน่งในประโยค
  • ใช้บ่อยๆ เวลาอยากเน้นความมั่นใจ

เพิ่มเติมนิดนึง เมื่อวานเพิ่งคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ มันบอกว่ามันใช้ Regardless เวลาเขียนอีเมลล์ เวลาส่งงานอาจารย์ด้วย มันบอกเวลาต้องส่งงานด่วน มันก็จะบอกอาจารย์ว่า Regardless of the deadline, I will submit it. ประมาณนี้ อิอิ คือแบบ ไม่ว่าเดดไลน์จะยังไง ฉันก็ส่ง! โคตรเท่เลย

#วันครบกำหนด #วันสิ้นสุด