วิทยาการระบาดมีกี่ประเภท

21 การดู

วิทยาการระบาด: ประเภทและวิธีการศึกษา

วิทยาการระบาดแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  1. เชิงพรรณนา: ศึกษาลักษณะการเกิดโรคและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
  2. เชิงวิเคราะห์: วิเคราะห์หาสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค
  3. เชิงทดลอง: ทดลองเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการป้องกันหรือรักษาโรค

ระบาดวิทยาใช้ 3 รูปแบบการศึกษา: เชิงพรรณนา วิเคราะห์ และทดลอง เพื่อทำความเข้าใจการแพร่กระจายของโรคและหาวิธีควบคุม

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

วิทยาการระบาดมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทมีความสำคัญอย่างไร?

อืมม… วิทยาการระบาดเนี่ยนะ จำได้ตอนเรียนป.โท อาจารย์เค้าบอกมีหลายแบบมากกก แต่จำได้ไม่หมดหรอก แบบหลักๆที่จำได้ก็ประมาณสามแบบ คือพรรณนา วิเคราะห์ แล้วก็ทดลอง ใช่ป่ะ? (มั้งนะ ถ้าจำผิดก็ขอโทษด้วยนะคะ)

พรรณนาเนี่ย มันก็เหมือนกับการบรรยายสถานการณ์ อย่างเช่น ตอนเกิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ปี 2009 ที่มหาลัยฉัน ตอนนั้นจำได้ว่ามีประกาศปิดมหาลัยเลย คนป่วยเยอะมาก จำได้ว่าข่าวออกทีวีทุกวันเลย ตอนนั้นเครียดมาก มหาลัยปิดไปหลายอาทิตย์ เราเลยต้องเรียนออนไลน์ จำได้ว่าตอนนั้นเพื่อนฉันที่เรียนอยู่คณะแพทย์ มันเล่าให้ฟังว่า พวกเค้าต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนผู้ป่วย ว่ามาจากไหน แพร่กระจายยังไง

วิเคราะห์เนี่ย มันก็ซับซ้อนกว่า ต้องหาสาเหตุ ต้องเปรียบเทียบกลุ่มคน จำได้ลางๆ ว่ามีการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มคนกลุ่มนึง ที่ได้รับวัคซีน กับ อีกกลุ่มที่ไม่ได้รับ แล้วดูว่าใครป่วยมากกว่า ประมาณนั้น จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว นานมากแล้ว

ส่วนทดลองนี่ มันก็คือการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง เหมือนกับการทดสอบยาใหม่ๆนี่แหละ แต่ว่ามันใช้กับโรคระบาด หาประสิทธิภาพของยา หรือวัคซีน อันนี้ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนเรียนก็งงๆอยู่ แต่จำได้ว่ามันสำคัญ เพราะมันช่วยป้องกันโรคได้

เอาจริงๆ ตอนนั้นเรียนแล้วก็ลืมไปเยอะแล้ว เพราะมันเป็นวิชาที่เนื้อหาเยอะมาก ต้องใช้ความจำดีด้วย แต่จำได้ว่าแต่ละแบบมันสำคัญหมดแหละ เพราะช่วยให้เราเข้าใจ ป้องกัน และควบคุมโรคได้ จำได้เท่านี้จริงๆนะคะ

วิทยาการระบาด หมายถึงอะไร?

อืมมม…วิทยาการระบาดอะนะ คือแบบนี้ ตอนนี้ปี 2024 แล้ว ฉันยังจำความรู้สึกตอนต้นปีที่ผ่านมา ตอนโควิดระบาดหนักๆอยู่เลย ข่าวมันเยอะมาก อ่านแล้วเครียด วิทยาการระบาดเนี่ย มันก็เลยเหมือนกับการ… อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การศึกษาว่าโรคมันเกิดขึ้นยังไง แพร่กระจายยังไง อะไรทำให้มันระบาด แล้วใครบ้างที่เสี่ยง

อย่างโควิด-19 นี่แหละ ระบาดวิทยาช่วยให้เรารู้ว่ามันมาจากไหน แพร่ทางไหน อาการเป็นยังไง ระยะฟักตัวนานเท่าไหร่ กลุ่มเสี่ยงคือใคร เด็กเล็ก คนแก่ คนมีโรคประจำตัว จำได้ว่าตอนนั้นข่าวบอกว่าคนสูงอายุ เสี่ยงมาก ฉันเลยต้องโทรไปถามแม่ทุกวันเลย ว่าเป็นยังไงบ้าง เครียดมาก

  • การศึกษาที่มาของโรค
  • การติดตามการแพร่กระจาย
  • การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง
  • การค้นหาวิธีควบคุมโรค

นึกออกไหม เหมือนกับ เราเป็นนักสืบ ตามหาต้นตอของโรค แล้วก็หาเบาะแสว่ามันกระจายไปยังไง มันเหมือนกับการไขปริศนา แต่ปริศนานี่มันเกี่ยวพันกับชีวิตคน ฉันเลยรู้สึกว่ามันสำคัญมากๆ

ตอนนั้น ฉันอยู่กรุงเทพฯ ข่าวเยอะมาก ฉันเปิดดูแต่ข่าว จนแทบจะไม่ทำอะไรเลย เครียดจนนอนไม่หลับหลายคืน คิดถึงแต่แม่ กลัวแม่จะติดโรค

ตอนนี้โควิดซาลงไปเยอะแล้ว แต่ระบาดวิทยาก็ยังสำคัญอยู่ เพราะมันช่วยเราเตรียมตัวรับมือกับโรคระบาดใหม่ๆ ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่โควิดก็เถอะ โรคใหม่ๆมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ

ประโยชน์ของวิทยาการระบาดมีอะไรบ้าง?

วิทยาการระบาด? แค่รู้ทันเกมส์

  • รู้ทัน: โรคระบาดแม่งมาไว อย่าช้า
  • รู้ลม: แนวโน้มเปลี่ยนทุกปี ตามให้ทัน
  • รู้ใคร: ใครซวยสุด? เจาะกลุ่มเสี่ยง
  • รู้แก้: คุมโรค? ป้องกัน? ต้องมีแผน

เพิ่มเติม: วิทยาการระบาดไม่ใช่แค่หมอ แต่แม่งเกี่ยวหมด ตั้งแต่นักสถิติ นักสังคม ไปยันรัฐบาลที่ต้องแดกงบประมาณมาบริหารจัดการ ถ้าพลาดก็บรรลัยกันหมด

ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์มีประโยชน์อย่างไร?

ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์? เอาจริงดิ ตอนเรียนนี่แทบจะคืนอาจารย์หมดแล้ว แต่พอมานึกๆ ดูนะ มันเหมือนเราเป็นนักสืบอ่ะ ตามหาฆาตกรโรค!

คือปีนี้ (2567) เห็นชัดเลย อย่างตอนโควิด-19 ระบาดหนักๆ ตอนนั้นทุกคนงงไปหมด ใครติดเพราะอะไร? ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์นี่แหละ ที่เข้ามาช่วยไขปริศนา

  • หาความเชื่อมโยง: มันช่วยให้รู้ว่า พฤติกรรมอะไร, สภาพแวดล้อมแบบไหน, หรือแม้แต่พันธุกรรม มีผลต่อการเกิดโรค
  • วางแผนป้องกัน: พอรู้สาเหตุแล้ว ก็วางแผนป้องกันได้ถูกจุด ไม่ใช่หว่านแหไปทั่ว
  • ประเมินผล: อย่างวัคซีนโควิด-19 เนี่ย ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ก็ช่วยประเมินว่ามันได้ผลจริงไหม ลดความเสี่ยงได้แค่ไหน
  • ตัดสินใจเชิงนโยบาย: ข้อมูลจากระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์สำคัญมาก สำหรับผู้กำหนดนโยบายสาธารณสุข จะได้ตัดสินใจได้บนพื้นฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก

ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อนสนิทเราชื่อเอ (ขออนุญาตไม่บอกนามสกุล) ช่วงโควิดระบาดหนักๆ เอทำงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลสนามแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเครียดมาก กลัวติดเชื้อ แต่ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์นี่แหละ ที่ทำให้เอเข้าใจว่า การใส่ชุด PPE อย่างถูกต้อง ล้างมือบ่อยๆ สำคัญขนาดไหน ทำให้เอปลอดภัยจากการติดเชื้อได้

สรุปง่ายๆ เลยนะ ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ ช่วยให้เราเข้าใจโรค วางแผนป้องกัน และรับมือกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่นั่งเทียนเดา!

การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนามีประโยชน์อย่างไร?

การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา:

  • แม่งเอ๊ย, โรคห่าลงตรงไหน? บอกตำแหน่ง เปรียบเทียบสถิติแต่ละพื้นที่ วางแผนรับมือได้ตรงจุด ไอ้พวกโรคระบาดแม่งไม่เลือกหน้า แต่เราเลือกจัดการได้

  • เชื้อโรคตัวไหนกำลังระบาด? ดูแนวโน้มการเกิดโรค วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง วางแผนป้องกันก่อนเหี้ยจะกินหัว

  • หาต้นตอ, ไอ้เวร! ข้อมูลพื้นฐานนำไปสู่การตั้งสมมติฐาน หาสาเหตุที่แท้จริงของโรค วางแผนควบคุมและป้องกันระยะยาว นี่แหละของจริง

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • การกระจายโรค: ศึกษาตามลักษณะประชากร (เพศ, อายุ, อาชีพ) และปัจจัยทางภูมิศาสตร์ (ที่อยู่อาศัย, สภาพแวดล้อม)

  • แนวโน้มโรค: วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอัตราป่วยและอัตราตายตามช่วงเวลา เพื่อคาดการณ์การระบาดในอนาคต

  • สมมติฐาน: ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสาเหตุของโรคจากข้อมูลเชิงพรรณนา นำไปสู่การศึกษาเชิงวิเคราะห์ที่เจาะลึกยิ่งขึ้น

Case control กับ cohort ต่างกันอย่างไร?

เอาล่ะเพื่อน มาเคลียร์เรื่อง Case Control กับ Cohort กัน แบบง่ายๆ เลยนะ

Case Control คือแบบ ย้อนหลัง อ่ะ ดูว่าคนเป็นโรค (case) กับคนไม่เป็นโรค (control) มีอะไรที่เคยทำเหมือนกันหรือเปล่า เช่น สูบบุหรี่ไหม กินอะไร

  • ข้อดี: เหมาะกับโรคที่หายาก แล้วก็ทำง่ายกว่า เร็วกว่า
  • ข้อเสีย: อาจจะจำความหลังไม่ค่อยได้ (recall bias) แล้วก็บอกไม่ได้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังกันแน่

Cohort นี่คือแบบ ไปข้างหน้า ตามคนกลุ่มใหญ่ๆ ไปเรื่อยๆ ดูว่าใครเป็นโรคบ้าง แล้วดูว่าคนที่เป็นกับคนไม่เป็น มีอะไรที่ต่างกัน เช่น ใครสูบบุหรี่แล้วเป็นมะเร็งปอด

  • ข้อดี: บอกได้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง แล้วก็แม่นยำกว่า
  • ข้อเสีย: ใช้เวลานาน แล้วก็แพงกว่า ต้องตามคนไปนานๆ

งานวิจัย Case Control ก็คือ เจาะจงไปเลย ว่าเราจะศึกษาโรคอะไร แล้วค่อยไปหาคนที่เป็นโรคมาเทียบกับคนที่ไม่เป็นโรค คล้ายๆ สืบสวนสอบสวนย้อนหลัง

Cohort study ก็คือ ตามติดชีวิต คนกลุ่มนึงไปยาวๆ แล้วค่อยมาดูว่าใครเป็นอะไรบ้าง คล้ายๆ ดูเรียลลิตี้ แล้วค่อยมาสรุปว่าใครได้รางวัล

สรุปความแตกต่าง นะ

  • Case Control เริ่มจาก ผลลัพธ์ (เป็นโรค/ไม่เป็นโรค) แล้วค่อยไปดู สาเหตุ
  • Cohort เริ่มจาก สาเหตุ (เช่น สูบบุหรี่/ไม่สูบบุหรี่) แล้วค่อยไปดู ผลลัพธ์

เข้าใจ๋? หวังว่าจะไม่งงนะเพื่อน! อ่ะแถมๆ

  • Bias คืออะไร? Bias ก็คือความ “เอียง” ในงานวิจัย ที่ทำให้ผลออกมาไม่ตรงกับความจริง อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น คนตอบไม่จริง คนเก็บข้อมูลใส่ใจคนกลุ่มนึงมากกว่าอีกกลุ่มนึง หรือวิธีวิเคราะห์ข้อมูลมีปัญหา
  • ทำไมต้องทำวิจัยหลายแบบ? เพราะแต่ละแบบมันมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ไม่มีแบบไหนที่ perfect ไปหมด เราเลยต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับคำถามที่เราอยากรู้ แล้วก็เอาผลจากหลายๆ แบบมาประกอบกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่น่าเชื่อถือที่สุด

เออ แล้วรู้ป่ะว่า ตอนนี้เค้ามีการวิจัยเรื่องลองโควิดกันเยอะมากกกกกกกกกกก ทั้ง Case Control ทั้ง Cohort เลยนะ แต่ละอันก็พยายามหาว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไร จะได้ป้องกันได้ถูกจุด ไงล่ะเจ๋งป่ะ 5555555555

รูปแบบการวิจัยประเภทใดที่ให้ผลการวิจัยน่าเชื่อถือมากที่สุด?

รูปแบบวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สุดเหรอ… อืม มันเหมือนถามว่าดาวดวงไหนสว่างที่สุดเลยนะ บนฟ้ามันมีตั้งหลายดวง แล้วแต่ละดวงก็สว่างในแบบของมัน

ไม่มีอะไรที่การันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกว่า อันนี้ คือที่สุดแล้ว มันอยู่ที่ว่าเราอยากรู้อะไรมากกว่า

  • วิจัยเชิงปริมาณ: พวกสำรวจ เก็บข้อมูลเป็นตัวเลขเยอะๆ แล้วเอามาวิเคราะห์ แบบนี้ถ้าคุมตัวแปรดีๆ ผลมันก็จะออกมาค่อนข้างชัดเจน น่าเชื่อถือ
  • วิจัยเชิงคุณภาพ: อันนี้จะเน้นไปที่การสัมภาษณ์ การสังเกต เพื่อทำความเข้าใจในเชิงลึก มันอาจจะไม่ได้ตัวเลขที่ชัดเจน แต่ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นเยอะเลยนะ

แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

  • วิธีการวิจัย: ต้องออกแบบให้มันตอบคำถามที่เราสงสัยได้จริงๆ
  • การควบคุมตัวแปร: ต้องพยายามคุมปัจจัยต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราเห็นมันเป็นผลมาจากสิ่งที่เรากำลังศึกษาจริงๆ
  • ขนาดตัวอย่าง: ยิ่งมีข้อมูลเยอะ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ต้องใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง และตีความอย่างระมัดระวัง

บางทีเราอาจจะอยากได้ตัวเลขที่ฟันธงได้เลย แต่บางทีเราอาจจะแค่อยากเข้าใจอะไรบางอย่างให้มากขึ้น มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอกนะ… มันอยู่ที่ใจเรามากกว่า ว่าเราต้องการอะไรจากการวิจัยครั้งนี้

แบบวิจัย (Research Design) คืออะไร?

แบบวิจัย คือ แผนแม่บทควบคุมกระบวนการวิจัย ตั้งแต่ต้นจนจบ

  • กำหนดปัญหา
  • วิธีการเก็บข้อมูล ปีนี้ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นหลัก ข้อมูลเชิงปริมาณ
  • วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ SPSS
  • รายงานผล

กระบวนการนี้ต้องครอบคลุม:

  • กลยุทธ์วิจัย (เชิงคุณภาพ หรือ เชิงปริมาณ)
  • กรอบแนวคิด (ทฤษฎีที่ใช้)
  • ประเภทข้อมูล (ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ)
  • เครื่องมือวิจัย (แบบสอบถาม การสัมภาษณ์)

ง่ายๆ คือ แผนที่นำทางการวิจัยให้ถึงเป้าหมาย ไม่หลงทาง ประหยัดเวลา และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ถ้าไม่มี ก็เหมือนเดินป่าโดยไม่มีแผนที่ เสี่ยง迷路

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคประกอบด้วยอะไรบ้าง?

โอ๊ย! ถามเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี่มันจี๊ดใจ! ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเหรอ? มันก็เหมือนสามทหารเสือร้ายที่คอยจ้องจะเล่นงานเรานั่นแหละ!

  • มนุษย์: ตัวเราเองนี่แหละ! กินไม่เลือก นอนดึก ออกกำลังกายน้อย… โอ๊ย! สารพัดจะทำร้ายตัวเอง! เหมือนเอามีดแทงตัวเองแล้วโทษคนอื่น!
  • สิ่งแวดล้อม: อากาศเป็นพิษ ฝุ่น PM 2.5 นี่ตัวดีเลย! น้ำเน่า ขยะล้นเมือง… อยู่ไปก็เหมือนอยู่ในกองขยะดีๆ นี่เอง!
  • เชื้อโรค: พวกไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา… ตัวเล็กๆ แต่มันร้าย! เหมือนยุงตัวนิดเดียวแต่กัดจนไข้ขึ้น!

ความสำคัญของการคุมโรคเอง:

การป้องกันโรคด้วยตัวเองสำคัญยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 อีกนะ! เพราะถ้าไม่ดูแลตัวเอง ป่วยขึ้นมา นอกจากจะเสียเงินเสียทองแล้ว ยังเสียเวลา เสียสุขภาพจิตอีกต่างหาก! เหมือนสร้างบ้านไม่แข็งแรง พายุพัดมาก็พังครืน!

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • ปีนี้ (2567) ไข้หวัดใหญ่ยังระบาดหนักเหมือนเดิม! ฉีดวัคซีนไว้บ้างก็ดีนะจ๊ะ!
  • ฝุ่น PM 2.5 ก็ยังไม่ไปไหน! ใส่หน้ากากอนามัย N95 ไว้ตลอดนะ!
  • กินอาหารให้มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ… ทำได้แค่นี้ก็รอดไปเยอะแล้ว! เหมือนมีเกราะป้องกันตัว!

สรุปง่ายๆ คือ ดูแลตัวเองให้ดี อย่าประมาท! เพราะชีวิตเรามีค่ามากกว่าเงินในกระเป๋าเยอะ! โอเค๊?

#จำแนก #ประเภท #วิทยาการระบาด