ADH คือโรคอะไร

29 การดู

โรคเบาจืด เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ADH ที่ควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้ไตขับน้ำออกมากเกินไป จนร่างกายขาดน้ำ ผู้ป่วยจึงรู้สึกกระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

เบาจืด: เมื่อร่างกายขาดฮอร์โมนควบคุมน้ำ

“เบาจืด” เป็นโรคที่ไม่ค่อยคุ้นหูเท่าโรคเบาหวาน แต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันไม่น้อย เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน “วาโซเพรสซิน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ” (Antidiuretic Hormone: ADH) ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย

ปกติแล้ว เมื่อร่างกายขาดน้ำ สมองจะส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่ง ADH ออกมา ฮอร์โมนนี้จะไปออกฤทธิ์ที่ไต กระตุ้นให้ไตดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ปัสสาวะจึงเข้มข้นและมีปริมาณลดลง ช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล

แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาจืด กลไกนี้ทำงานผิดปกติ อาจเกิดจาก:

  • ร่างกายสร้างฮอร์โมน ADH ได้น้อย หรือไม่ได้เลย (Central Diabetes Insipidus) มักเกิดจากความผิดปกติของต่อมใต้สมองส่วนหลัง เช่น เนื้องอก การติดเชื้อ หรือได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • ไตไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมน ADH (Nephrogenic Diabetes Insipidus) อาจเกิดจากพันธุกรรม โรคไตเรื้อรัง หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
  • ร่างกายสร้างเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมน ADH มากเกินไป (Gestational Diabetes Insipidus) พบได้น้อย มักเกิดในหญิงตั้งครรภ์

เมื่อฮอร์โมน ADH ทำงานผิดปกติ ไตจึงไม่สามารถดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วย ปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากผิดปกติ (มากกว่า 3 ลิตรต่อวัน) ปัสสาวะมักใสไม่มีสี ส่งผลให้ร่างกาย ขาดน้ำอย่างรุนแรง รู้สึก กระหายน้ำตลอดเวลา

อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมได้ เช่น ปากแห้ง อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ผิวแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ในรายที่รุนแรง อาจมีภาวะเลือดข้น ชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้

การวินิจฉัยโรคเบาจืด แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจปัสสาวะ อาจพิจารณาตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน ADH ร่วมด้วย

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค แพทย์อาจให้ฮอร์โมน ADH สังเคราะห์ทดแทน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย และรักษาโรคต้นเหตุที่ทำให้เกิดเบาจืด

แม้โรคเบาจืดจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์