ต่อมน้ำลายอักเสบกับคางทูมเหมือนกันไหม

10 การดู

คางทูมคือการอักเสบของต่อมน้ำลายบริเวณคาง แต่การบวมที่คางอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ด้วย เช่น การบาดเจ็บที่ขากรรไกร โรคเหงือกอักเสบ หรือการติดเชื้อในช่องปาก

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ต่อมน้ำลายอักเสบ: คางทูม…จริงหรือแค่เหมือน? ไขข้อสงสัยความแตกต่างและการวินิจฉัย

หลายคนมักสับสนระหว่าง “ต่อมน้ำลายอักเสบ” กับ “คางทูม” เพราะอาการบวมบริเวณคางที่คล้ายคลึงกัน แต่ความจริงแล้ว สองภาวะนี้มีความแตกต่างกันที่สาเหตุและการรักษา บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างและแนวทางการดูแลที่เหมาะสม

คางทูม: ตัวการหลักคือไวรัส

คางทูม (Mumps) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส “มัมส์” (Mumps virus) ไวรัสชนิดนี้จะเข้าโจมตีต่อมน้ำลาย โดยเฉพาะต่อมน้ำลายพาโรติด (Parotid gland) ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าและใต้หู ทำให้ต่อมน้ำลายบวมโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน อาการอื่นๆ ที่มักพบร่วมด้วย ได้แก่ ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และเบื่ออาหาร

ต่อมน้ำลายอักเสบ: สาเหตุหลากหลายกว่าที่คิด

ต่อมน้ำลายอักเสบ (Sialadenitis) เป็นภาวะที่ต่อมน้ำลายเกิดการอักเสบ ซึ่งสาเหตุนั้นมีความหลากหลายกว่าคางทูมมาก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย: มักเกิดจากการอุดตันของท่อน้ำลาย ทำให้แบคทีเรียสะสมและก่อให้เกิดการอักเสบ
  • การติดเชื้อไวรัสอื่นๆ: นอกเหนือจากไวรัสมัมส์แล้ว ไวรัสชนิดอื่นก็สามารถทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบได้เช่นกัน
  • นิ่วในท่อน้ำลาย: นิ่วที่อุดตันทางเดินของน้ำลาย ทำให้เกิดการสะสมของน้ำลายและแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดการอักเสบ
  • ภาวะขาดน้ำ: การขาดน้ำทำให้ปริมาณน้ำลายลดลง ส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิดอาจลดการผลิตน้ำลาย ทำให้ต่อมน้ำลายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune diseases) อาจทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบได้

ความแตกต่างที่ต้องสังเกต

ถึงแม้จะมีอาการบวมบริเวณคางคล้ายกัน แต่ก็มีจุดสังเกตที่ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างคางทูมและต่อมน้ำลายอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ ได้ดังนี้:

ลักษณะ คางทูม (Mumps) ต่อมน้ำลายอักเสบ (Sialadenitis)
สาเหตุ ไวรัสมัมส์ การติดเชื้อแบคทีเรีย, ไวรัสอื่นๆ, นิ่ว, ขาดน้ำ, ยาบางชนิด, โรคประจำตัว
อาการร่วม ไข้, ปวดเมื่อย, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ, เบื่ออาหาร อาจมีไข้, ปวดเมื่อย, แต่ไม่เด่นชัดเท่าคางทูม
การติดต่อ ติดต่อได้ง่ายผ่านทางละอองน้ำมูก น้ำลาย ไม่ติดต่อ (ยกเว้นกรณีติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้)
การป้องกัน วัคซีนป้องกันคางทูม (MMR) รักษาสุขอนามัยในช่องปาก, ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยภาวะต่อมน้ำลายอักเสบจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกายโดยแพทย์ การซักประวัติเกี่ยวกับอาการ และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเพาะเชื้อจากน้ำลาย การตรวจเลือด หรือการถ่ายภาพรังสี (เช่น อัลตราซาวด์ หรือ CT Scan) เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

การรักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุของการอักเสบ:

  • คางทูม: รักษาตามอาการ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดไข้ บรรเทาอาการปวด
  • ต่อมน้ำลายอักเสบจากแบคทีเรีย: ใช้ยาปฏิชีวนะ
  • นิ่วในท่อน้ำลาย: อาจต้องผ่าตัดเพื่อนำนิ่วออก
  • ภาวะขาดน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอ

สรุป

ถึงแม้ว่าคางทูมจะเป็นสาเหตุหนึ่งของต่อมน้ำลายอักเสบ แต่การบวมบริเวณคางไม่ได้หมายความว่าเป็นคางทูมเสมอไป หากคุณมีอาการบวมบริเวณคาง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • รักษาสุขอนามัยในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยให้ต่อมน้ำลายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หากมีอาการผิดปกติบริเวณคาง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างคางทูมและต่อมน้ำลายอักเสบได้ดียิ่งขึ้น และสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้อง