ต่อมน้ําเหลืองอักเสบมีอาการอะไรบ้างที่คอ

ต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่คอ: สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม

ต่อมน้ำเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำหน้าที่กรองของเสียและสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือเซลล์มะเร็ง เมื่อร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองจะทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดการบวม อักเสบ และอาจก่อให้เกิดอาการไม่สบายตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณคอ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบต่อมน้ำเหลืองจำนวนมาก

อาการของต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่คอมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของการอักเสบ บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรง และจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ต่อไปนี้เป็นอาการที่พบบ่อยของต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่คอ:

อาการทั่วไป:

• ต่อมน้ำเหลืองบวม: นี่คืออาการที่เด่นชัดที่สุด คุณจะรู้สึกได้ถึงก้อนบวม แข็ง หรืออ่อนนุ่ม บริเวณข้างลำคอ ใต้คาง หรือบริเวณอื่นๆ รอบๆ คอ ขนาดของก้อนอาจแตกต่างกันไป ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วจนถึงขนาดใหญ่กว่านั้น
• ความเจ็บปวด: การกดบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่บวมอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด และอาจรุนแรงมากขึ้นเมื่อกลืนอาหารหรือน้ำลาย
• อาการอักเสบ: บริเวณรอบๆ ต่อมน้ำเหลืองที่อักเสบอาจมีอาการแดง บวม และอุ่นกว่าบริเวณโดยรอบ
• ไข้ต่ำ: การติดเชื้อเป็นสาเหตุหลักของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ดังนั้นไข้ต่ำจึงเป็นอาการที่พบบ่อย อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
• ปวดศีรษะ: อาการปวดศีรษะอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส
• รู้สึกไม่สบายตัว: อาการทั่วไปอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และน้ำมูกไหล อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ

อาการที่ควรระวัง:

• ต่อมน้ำเหลืองบวมขนาดใหญ่ อย่างรวดเร็ว: อาจบ่งบอกถึงภาวะร้ายแรง เช่น การติดเชื้อรุนแรง หรือมะเร็ง
• ต่อมน้ำเหลืองแข็ง ไม่เคลื่อนไหว: อาการนี้ควรได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์อย่างละเอียด
• มีไข้สูง ร่วมกับอาการอื่นๆ ที่รุนแรง: เช่น หายใจลำบาก เจ็บคออย่างรุนแรง หรือมีเลือดออกผิดปกติ
• อาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงหลังจาก 2 สัปดาห์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา

เมื่อใดควรพบแพทย์:

หากคุณมีอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่คอ และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโตเร็ว แข็ง หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และอาจสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด หรือการตรวจเอกซเรย์ เพื่อหาสาเหตุของการอักเสบ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม อย่าปล่อยปละละเลยอาการ เพราะการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ กรุณาปรึกษาแพทย์หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของคุณ