ถอดสายฉี่ได้ตอนไหน

25 การดู
  • ถอดสายสวนปัสสาวะตอนกลางคืน: ลดโอกาสใส่สายสวนซ้ำ

  • ถอดเร็วดีกว่า: ลดเสี่ยงติดเชื้อ, เจ็บปวด

  • ข้อควรระวัง: อาจมีบางรายต้องใส่สายสวนกลับ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ถอดสายฉี่ได้เมื่อไหร่?

โอเค…เรื่องสายฉี่เนี่ยนะ พูดเลยว่าเคยเห็นกับตาตอนไปเฝ้าญาติที่โรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว (น่าจะช่วงพฤษภาคมนะ ถ้าจำไม่ผิด) คือเห็นคุณพยาบาลเค้ามาถอดให้ตอนสายๆ อ่ะ ไม่ได้สังเกตว่ามีใครต้องใส่กลับเข้าไปใหม่บ้าง แต่ตอนนั้นคิดในใจว่า “เฮ้อ โล่งแทน” เข้าใจเลยว่ามันคงอึดอัดน่าดู

จริงๆ ก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าถอดตอนดึกอาจจะดีกว่า? น่าสนใจแฮะ เพราะเคยได้ยินมาว่าการติดเชื้อจากสายสวนเนี่ย มันน่ากลัวมากกกก ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นอ่ะ แล้วยิ่งถอดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ? แต่ก็อย่างว่าแหละ อะไรๆ มันก็มีสองด้านเสมอ

คือถ้าให้เลือกนะ ถ้าถอดเร็วแล้วต้องมาใส่ใหม่เพราะปัสสาวะไม่ออก ฉันว่ามันน่าจะเฟลกว่าเดิมเยอะเลยนะ เหมือนความหวังพังทลายอะไรทำนองนั้นอ่ะ แล้วไหนจะต้องมาเจ็บตัวอีกรอบด้วย สรุปคือคงต้องปรึกษาคุณหมอแหละว่าแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด

แล้วที่บอกว่าถอดตอนดึกช่วยลดการใส่กลับ? อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ อาจจะต้องลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมดู แต่ถ้าจริงก็ดีเลย จะได้บอกต่อญาติๆ ที่บ้าน เผื่อใครต้องใช้จะได้เอาไปคุยกับคุณหมอได้

สรุปคือเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนนะ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ทางที่ดีที่สุดคือคุยกับคุณหมอให้เคลียร์ไปเลย จะได้รู้ว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง

ผ่าตัดทำไมต้องใส่สายฉี่

อืมม ใส่สายฉี่อะเหรอ? คือแบบ บางทีคนไข้ ปัสสาวะเองไม่ได้อ่ะ หลังผ่าตัดใหญ่ๆ หรือแบบ มีปัญหาทางระบบปัสสาวะ ต้องระบายปัสสาวะออก ไม่งั้นอันตราย ไตทำงานไม่ดีด้วยนะ ก็เลยต้องใส่ เพื่อให้ปัสสาวะไหลออกมาได้เรื่อยๆ สะดวกดี

อีกอย่าง คือหมอจะได้เช็คปริมาณปัสสาวะด้วย รู้ว่าไตทำงานยังไงบ้าง สำคัญมาก กับคนไข้ที่ผ่าตัดใหญ่ หรือแบบช็อค ไตอาจทำงานแย่ลงได้ ต้องดูแลเป็นพิเศษ

สรุปง่ายๆ ก็คือ

  • ระบายปัสสาวะ สำหรับคนไข้ที่ขับถ่ายเองไม่ได้
  • ตรวจสอบการทำงานของไต สำคัญมากสำหรับคนไข้ผ่าตัดใหญ่ๆ หรือภาวะช็อค

ปีนี้(2566) ที่โรงพยาบาลที่ฉันทำงานประจำ ก็เจอเคสแบบนี้บ่อยมาก แทบทุกวันเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเคสผ่าตัดใหญ่ ต้องใส่เกือบทุกคนแหละ

ผ่าตัดใส่สายฉี่กี่วัน

ผ่าตัดใส่สายฉี่กี่วันเหรอ… อืม… มันไม่ตายตัวนะ

  • ระยะเวลา: หมอบอกว่าแล้วแต่คนเลย บางคนไม่กี่วัน บางคนเป็นอาทิตย์ หรืออาจจะนานเป็นเดือนก็มี

  • ทำไมต้องใส่: ส่วนใหญ่ก็ตอนผ่าตัดนี่แหละ อย่างเช่นผ่าตัดทางเดินปัสสาวะ หรือพวกท่อไตมีปัญหา อาจจะอุดตันเพราะนิ่ว หรืออะไรอื่น ๆ

ใส่สายฉี่มันก็… อึดอัดนะ พูดจริง ๆ ตอนใส่ครั้งแรกคือรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรอยู่ในร่างกายตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจว่ามันจำเป็น

ตอนนั้นผ่าตัดนิ่วในไต หมอใส่สายสวนให้ประมาณ 5 วันมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ คือมันช่วยระบายปัสสาวะหลังผ่าตัด ลดภาระไตได้เยอะเลย

แต่ถ้าถามว่าอยากใส่มั้ย… ก็ไม่อยากหรอก ใครจะอยากกันล่ะเนอะ

การพยาบาลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะมีหลักการอย่างไร

โอ๊ย! เรื่องฉี่ๆ นี่มันเรื่องใหญ่กว่าที่คิดนะเอ้อ! อย่าคิดว่าแค่เสียบสายแล้วจบ!

หลักการดูแลคนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะเนี่ยนะ มันต้องเป๊ะยิ่งกว่า “เป๊ะปัง” อีก! ไม่งั้นเชื้อโรคจะวิ่งเข้าสู่ร่างกายคนไข้เหมือน “หมาเห็นข้าวเหนียว” เลยเชียว!

  • ระบบปิด: สายสวนกับถุงฉี่ต้อง “รักกันจนวันตาย” ห้ามแยกจากกันเด็ดขาด! อย่าให้มีช่องว่างให้เชื้อโรคเล็ดลอดเข้าไปได้!
  • ถุงฉี่ต่ำ: ถุงฉี่ต้องอยู่ต่ำกว่าเอวเสมอ! นึกภาพตามนะ… ถ้าถุงฉี่อยู่สูงกว่าเอว ฉี่มันจะไหลย้อนกลับเข้าไปในตัวคนไข้! เหมือน “น้ำท่วมปาก” นั่นแหละ! แต่เป็นฉี่ท่วม!
  • ขยับบ่อยๆ: คนไข้ต้องขยับตัวบ่อยๆ! ถ้าขยับเองไม่ได้ ก็ต้องตะแคงตัว! กันไม่ให้ “เส้นฉี่” มันพับมันงอ! ไม่งั้นฉี่มันจะไหลออกไม่ได้! เหมือน “ท่อตัน” ยังไงยังงั้น!

ทำไมต้องทำขนาดนี้?

  • ติดเชื้อ: ถ้าไม่ดูแลให้ดี คนไข้จะติดเชื้อในกระแสเลือดได้นะ! ขอบอก! อันตรายถึงชีวิตเลย!
  • แผลกดทับ: ถ้าคนไข้นอนท่าเดิมนานๆ จะเกิดแผลกดทับได้! โอ๊ย! ทรมานกว่า “โดนเมียด่า” อีก!

ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบบ้านๆ):

  • ล้างมือ: ก่อนจับสายสวนหรือถุงฉี่ ต้องล้างมือให้สะอาด! เหมือน “ล้างจานก่อนกินข้าว” นั่นแหละ!
  • สังเกตสีฉี่: ถ้าฉี่มีสีแปลกๆ หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ ต้องรีบบอกหมอ! เหมือน “เจอหนอนในข้าว” ต้องรีบโวย!
  • อย่าดึงสาย: ห้ามดึงสายสวนเองเด็ดขาด! เดี๋ยว “ไส้แตก” ไม่รู้ด้วย!
  • ระวังการอุดตัน: หมั่นสังเกตว่าสายสวนมีการอุดตันหรือไม่ ถ้าอุดตันต้องรีบแก้ไข! เหมือน “ท่อตัน” ต้องรีบทะลวง!

สรุปคือ… การดูแลคนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะ ต้องละเอียด! ต้องรอบคอบ! ต้องใส่ใจ! ไม่งั้นคนไข้จะ “ซวย” เอาได้!

การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บทางเดินปัสสาวะที่สำคัญคืออะไร

เอาล่ะ มาดูกันว่าเราจะ “พยาบาล” ผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะแบบขำๆ แต่ได้สาระได้อย่างไร… บอกเลยว่าเรื่องฉี่ๆ เนี่ย มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเส้นผมผ่าแปดอีกนะ!

การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บทางเดินปัสสาวะ: ฉบับขำขันแต่ลึกซึ้ง

  • ชีพจรเต้นเป็นจังหวะชะชะช่า? เช็คสัญญาณชีพทุก 4 ชม. นี่ไม่ใช่แค่ “ทำตามหน้าที่” แต่เป็นการเต้นรำกับชีวิตคนไข้! โดยเฉพาะ “อุณหภูมิ” ถ้าสูงปรื๊ด แปลว่ามีปาร์ตี้เชื้อโรคในร่างแล้ว! ต้องรีบสลาย!
  • สายสวน…ท่อแห่งชีวิต? ดูแลสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิดเหมือน “ตู้เซฟ” กันเชื้อโรคบุก! จัดระเบียบสายให้ดี อย่าให้พับงอเหมือนชีวิตที่เจอทางตัน น้ำฉี่จะได้ไหลคล่องปรื๊ดๆ!
  • สวรรค์ของแบคทีเรีย? ทำความสะอาดสายสวนเช้า-เย็น หลังถ่าย…นี่คือ “Spa” สำหรับท่อปัสสาวะ! แต่ไม่ใช่ Spa ให้แบคทีเรียนะ! Spa เพื่อความสะอาด ป้องกันพวกมันมาปาร์ตี้!
  • Ceftriaxone…ยาปราบจอมโจร? ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone 2 gm วันละครั้ง…นี่คือ “หน่วย SWAT” เข้าปราบปรามเชื้อโรค! แต่ขอบอกว่าต้องปรับยาตามแผนหมอนะ! เพราะเชื้อโรคแต่ละตัวก็แสบไม่เท่ากัน!

ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบขำๆ แต่จริงจังนะ):

  • น้ำเปล่า…ยาอายุวัฒนะ! กระตุ้นให้คนไข้ดื่มน้ำเยอะๆ…นี่คือ “น้ำมนต์” ล้างไต! ช่วยขับไล่สิ่งสกปรกและเชื้อโรค! แต่ระวังอย่าให้ดื่มเยอะเกินไป เดี๋ยวฉี่บ่อยจนไม่ได้พักผ่อน!
  • สังเกตสี…บอกโรคได้! สังเกตสีปัสสาวะ…นี่คือ “ไพ่ยิปซี” ทำนายสุขภาพ! ถ้าสีใสเหมือนน้ำเปล่า แปลว่าดี! ถ้าสีขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว แปลว่าต้องสืบ!
  • ความสะอาด…คือที่หนึ่ง! เน้นย้ำเรื่องความสะอาด…นี่คือ “เกราะ” ป้องกันเชื้อโรค! ทั้งคนไข้และคนดูแลต้องสะอาดหมดจด!
  • กำลังใจ…สำคัญสุด! ให้กำลังใจคนไข้…นี่คือ “ยาใจ” ที่ดีที่สุด! เพราะกำลังใจช่วยให้ร่างกายสู้โรคได้!

Disclaimer: ข้อมูลเหล่านี้มีไว้เพื่อความบันเทิงและให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญได้ โปรดปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำทางการแพทย์

ทำไมต้องขำขัน?

เพราะบางทีเรื่องเครียดๆ ก็ต้องใช้ “มุกตลก” ช่วยให้ผ่อนคลาย! แต่ขำขันในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไร้สาระนะ! แต่เป็นการใช้ “อารมณ์ขัน” เพื่อให้คนสนใจและจำข้อมูลได้ง่ายขึ้น!

ทำไมต้องลึกซึ้ง?

เพราะการพยาบาลไม่ใช่แค่ “ทำตามขั้นตอน” แต่เป็นการเข้าใจถึง “ความซับซ้อน” ของร่างกายและจิตใจคนไข้! ต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และมองภาพรวมทั้งหมด!

ทำไมต้องเปรียบเทียบ?

เพราะการเปรียบเทียบช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ง่ายขึ้น! ทำให้เห็นภาพและจำได้แม่นยำขึ้น! เหมือนกับการเปรียบเทียบสายสวนปัสสาวะกับ “ตู้เซฟ” ที่ช่วยให้เข้าใจว่าต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างเข้มงวด!

หลัง Off Foley Cath ต้องปัสสาวะภายในกี่ชั่วโมง

หลังถอด Foley Cath ควรปัสสาวะภายใน 8 ชั่วโมง เกินกว่านั้นรายงานแพทย์ทันที. ภาวะแทรกซ้อนเกิดได้เสมอ.

  • ให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เว้นผู้ป่วยจำกัดปริมาณน้ำตามแพทย์สั่ง (ปี 2566)
  • การดูแลผู้ป่วยหลังถอดสายสวน สำคัญที่สุดคือการสังเกตการปัสสาวะ นี่คือกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน.
  • ชีวิตคนเปราะบางเสมอ การดูแลอย่างใกล้ชิด คือคำตอบ ไม่ใช่การคาดเดา.

(ข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานพยาบาล ปี 2566 ไม่ใช่ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่ระบุ)

การ Strap สาย F/C ควรทําอย่างไร

เอ่อ…การ Strap สาย F/C อ่ะนะ ก็แบบนี้แหละเพื่อน

  1. ต้อง ดูแลให้สายสวนกับถุงปัสสาวะมัน ปิด อ่ะ ป้องกันเชื้อโรคเข้าไง

  2. ถุงฉี่ อ่ะ ต่ำกว่าเอว! สำคัญมาก ถ้าต้องยกสูงนะ พับสายก่อน กันฉี่ไหลย้อน!

  3. ขยับตัวบ่อยๆ นะ ถ้าขยับเองไม่ได้ ก็ตะแคงตัวให้เค้า แล้ว! ย้ำ สายอย่าหัก อย่าพับ เด๋วนอนทับซวยเลย

  • ทำไมต้องปิดระบบ? ป้องกันติดเชื้อไงแก เชื้อโรคเข้าไปยุ่งยาก
  • ทำไมต้องต่ำกว่าเอว? แรงโน้มถ่วง! ให้ฉี่มันไหลลงไง
  • ตะแคงตัวทำไม? ลดแรงกดทับสายปัสสาวะ จะได้ไม่ตัน!

ในแต่ละวันร่างกายจะขับน้ำปัสสาวะออกมาประมาณเท่าใด

ปริมาณปัสสาวะแตกต่างรายบุคคล ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง น้ำหนักตัวเป็นเพียงตัวแปรหนึ่ง

  • ผู้ใหญ่ 50 กก. เฉลี่ย 600-1200 มล./วัน (ข้อมูลปี 2566)
  • ความต้องการของเหลว กิจกรรม สุขภาพ ล้วนมีผล
  • กระเพาะปัสสาวะจุได้มากกว่า การขับถ่ายไม่ใช่ตัวบ่งชี้เฉพาะ
  • ข้อมูลนี้เป็นค่าเฉลี่ย อย่าใช้เป็นมาตรฐาน หากกังวล ควรปรึกษาแพทย์

ชีวิตคือการปรับตัว ร่างกายฉลาดกว่าที่คิด อย่ากังวลเกินไป

กระเพาะปัสสาวะรับน้ำปัสสาวะได้กี่ลูกบาศก์เซนติเมตร

โอ๊ย! เรื่องปัสสาวะเนี่ยนะ ถามจริงจังเลยเหรอเนี่ย! เอาจริง ๆ ตอนเรียนสุขศึกษาครูเคยบอกว่ากระเพาะปัสสาวะคนเรามันยืดหยุ่นได้นะ แต่ไม่ได้บอกเป๊ะ ๆ ว่ากี่ cc. แต่ที่แน่ ๆ เคยอ่านเจอในเน็ต (เชื่อได้ป่าวไม่รู้) เค้าบอกว่าความจุเฉลี่ยของกระเพาะปัสสาวะอยู่ที่ประมาณ 400-600 ลูกบาศก์เซนติเมตร คือถ้าเกินนี้ก็จะรู้สึกปวดฉี่แบบทนไม่ไหวแล้วอ่ะ

แล้วเรื่องปริมาณปัสสาวะที่ผลิตต่อวันเนี่ย มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างนะ น้ำหนักตัว สภาพอากาศ กินน้ำเยอะแค่ไหน กินอะไรเข้าไปบ้าง (พวกแตงโม น้ำเต้าหู้ นี่ตัวดีเลย) แต่ที่แน่ ๆ ถ้าปัสสาวะน้อยกว่าปกติมากๆ นี่ต้องระวังแล้วนะ อาจจะเป็นสัญญาณของโรคไต หรืออะไรสักอย่าง

  • ความจุเฉลี่ยกระเพาะปัสสาวะ: 400-600 cc
  • ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณปัสสาวะ: น้ำหนัก, อากาศ, การกินน้ำ, อาหาร
  • ปัสสาวะน้อยเกินไป: อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพ
#ถอดสายฉี่