ถอดสายฉี่ได้ตอนไหน
-
ถอดสายสวนปัสสาวะตอนกลางคืน: ลดโอกาสใส่สายสวนซ้ำ
-
ถอดเร็วดีกว่า: ลดเสี่ยงติดเชื้อ, เจ็บปวด
-
ข้อควรระวัง: อาจมีบางรายต้องใส่สายสวนกลับ
ถอดสายฉี่ได้เมื่อไหร่?
โอเค…เรื่องสายฉี่เนี่ยนะ พูดเลยว่าเคยเห็นกับตาตอนไปเฝ้าญาติที่โรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว (น่าจะช่วงพฤษภาคมนะ ถ้าจำไม่ผิด) คือเห็นคุณพยาบาลเค้ามาถอดให้ตอนสายๆ อ่ะ ไม่ได้สังเกตว่ามีใครต้องใส่กลับเข้าไปใหม่บ้าง แต่ตอนนั้นคิดในใจว่า “เฮ้อ โล่งแทน” เข้าใจเลยว่ามันคงอึดอัดน่าดู
จริงๆ ก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าถอดตอนดึกอาจจะดีกว่า? น่าสนใจแฮะ เพราะเคยได้ยินมาว่าการติดเชื้อจากสายสวนเนี่ย มันน่ากลัวมากกกก ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นอ่ะ แล้วยิ่งถอดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ? แต่ก็อย่างว่าแหละ อะไรๆ มันก็มีสองด้านเสมอ
คือถ้าให้เลือกนะ ถ้าถอดเร็วแล้วต้องมาใส่ใหม่เพราะปัสสาวะไม่ออก ฉันว่ามันน่าจะเฟลกว่าเดิมเยอะเลยนะ เหมือนความหวังพังทลายอะไรทำนองนั้นอ่ะ แล้วไหนจะต้องมาเจ็บตัวอีกรอบด้วย สรุปคือคงต้องปรึกษาคุณหมอแหละว่าแบบไหนเหมาะกับเราที่สุด
แล้วที่บอกว่าถอดตอนดึกช่วยลดการใส่กลับ? อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ อาจจะต้องลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมดู แต่ถ้าจริงก็ดีเลย จะได้บอกต่อญาติๆ ที่บ้าน เผื่อใครต้องใช้จะได้เอาไปคุยกับคุณหมอได้
สรุปคือเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนนะ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ทางที่ดีที่สุดคือคุยกับคุณหมอให้เคลียร์ไปเลย จะได้รู้ว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง
ผ่าตัดทำไมต้องใส่สายฉี่
อืมม ใส่สายฉี่อะเหรอ? คือแบบ บางทีคนไข้ ปัสสาวะเองไม่ได้อ่ะ หลังผ่าตัดใหญ่ๆ หรือแบบ มีปัญหาทางระบบปัสสาวะ ต้องระบายปัสสาวะออก ไม่งั้นอันตราย ไตทำงานไม่ดีด้วยนะ ก็เลยต้องใส่ เพื่อให้ปัสสาวะไหลออกมาได้เรื่อยๆ สะดวกดี
อีกอย่าง คือหมอจะได้เช็คปริมาณปัสสาวะด้วย รู้ว่าไตทำงานยังไงบ้าง สำคัญมาก กับคนไข้ที่ผ่าตัดใหญ่ หรือแบบช็อค ไตอาจทำงานแย่ลงได้ ต้องดูแลเป็นพิเศษ
สรุปง่ายๆ ก็คือ
- ระบายปัสสาวะ สำหรับคนไข้ที่ขับถ่ายเองไม่ได้
- ตรวจสอบการทำงานของไต สำคัญมากสำหรับคนไข้ผ่าตัดใหญ่ๆ หรือภาวะช็อค
ปีนี้(2566) ที่โรงพยาบาลที่ฉันทำงานประจำ ก็เจอเคสแบบนี้บ่อยมาก แทบทุกวันเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเคสผ่าตัดใหญ่ ต้องใส่เกือบทุกคนแหละ
ผ่าตัดใส่สายฉี่กี่วัน
ผ่าตัดใส่สายฉี่กี่วันเหรอ… อืม… มันไม่ตายตัวนะ
-
ระยะเวลา: หมอบอกว่าแล้วแต่คนเลย บางคนไม่กี่วัน บางคนเป็นอาทิตย์ หรืออาจจะนานเป็นเดือนก็มี
-
ทำไมต้องใส่: ส่วนใหญ่ก็ตอนผ่าตัดนี่แหละ อย่างเช่นผ่าตัดทางเดินปัสสาวะ หรือพวกท่อไตมีปัญหา อาจจะอุดตันเพราะนิ่ว หรืออะไรอื่น ๆ
ใส่สายฉี่มันก็… อึดอัดนะ พูดจริง ๆ ตอนใส่ครั้งแรกคือรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรอยู่ในร่างกายตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจว่ามันจำเป็น
ตอนนั้นผ่าตัดนิ่วในไต หมอใส่สายสวนให้ประมาณ 5 วันมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ คือมันช่วยระบายปัสสาวะหลังผ่าตัด ลดภาระไตได้เยอะเลย
แต่ถ้าถามว่าอยากใส่มั้ย… ก็ไม่อยากหรอก ใครจะอยากกันล่ะเนอะ
การพยาบาลผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะมีหลักการอย่างไร
โอ๊ย! เรื่องฉี่ๆ นี่มันเรื่องใหญ่กว่าที่คิดนะเอ้อ! อย่าคิดว่าแค่เสียบสายแล้วจบ!
หลักการดูแลคนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะเนี่ยนะ มันต้องเป๊ะยิ่งกว่า “เป๊ะปัง” อีก! ไม่งั้นเชื้อโรคจะวิ่งเข้าสู่ร่างกายคนไข้เหมือน “หมาเห็นข้าวเหนียว” เลยเชียว!
- ระบบปิด: สายสวนกับถุงฉี่ต้อง “รักกันจนวันตาย” ห้ามแยกจากกันเด็ดขาด! อย่าให้มีช่องว่างให้เชื้อโรคเล็ดลอดเข้าไปได้!
- ถุงฉี่ต่ำ: ถุงฉี่ต้องอยู่ต่ำกว่าเอวเสมอ! นึกภาพตามนะ… ถ้าถุงฉี่อยู่สูงกว่าเอว ฉี่มันจะไหลย้อนกลับเข้าไปในตัวคนไข้! เหมือน “น้ำท่วมปาก” นั่นแหละ! แต่เป็นฉี่ท่วม!
- ขยับบ่อยๆ: คนไข้ต้องขยับตัวบ่อยๆ! ถ้าขยับเองไม่ได้ ก็ต้องตะแคงตัว! กันไม่ให้ “เส้นฉี่” มันพับมันงอ! ไม่งั้นฉี่มันจะไหลออกไม่ได้! เหมือน “ท่อตัน” ยังไงยังงั้น!
ทำไมต้องทำขนาดนี้?
- ติดเชื้อ: ถ้าไม่ดูแลให้ดี คนไข้จะติดเชื้อในกระแสเลือดได้นะ! ขอบอก! อันตรายถึงชีวิตเลย!
- แผลกดทับ: ถ้าคนไข้นอนท่าเดิมนานๆ จะเกิดแผลกดทับได้! โอ๊ย! ทรมานกว่า “โดนเมียด่า” อีก!
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบบ้านๆ):
- ล้างมือ: ก่อนจับสายสวนหรือถุงฉี่ ต้องล้างมือให้สะอาด! เหมือน “ล้างจานก่อนกินข้าว” นั่นแหละ!
- สังเกตสีฉี่: ถ้าฉี่มีสีแปลกๆ หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ ต้องรีบบอกหมอ! เหมือน “เจอหนอนในข้าว” ต้องรีบโวย!
- อย่าดึงสาย: ห้ามดึงสายสวนเองเด็ดขาด! เดี๋ยว “ไส้แตก” ไม่รู้ด้วย!
- ระวังการอุดตัน: หมั่นสังเกตว่าสายสวนมีการอุดตันหรือไม่ ถ้าอุดตันต้องรีบแก้ไข! เหมือน “ท่อตัน” ต้องรีบทะลวง!
สรุปคือ… การดูแลคนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะ ต้องละเอียด! ต้องรอบคอบ! ต้องใส่ใจ! ไม่งั้นคนไข้จะ “ซวย” เอาได้!
การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บทางเดินปัสสาวะที่สำคัญคืออะไร
เอาล่ะ มาดูกันว่าเราจะ “พยาบาล” ผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะแบบขำๆ แต่ได้สาระได้อย่างไร… บอกเลยว่าเรื่องฉี่ๆ เนี่ย มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเส้นผมผ่าแปดอีกนะ!
การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บทางเดินปัสสาวะ: ฉบับขำขันแต่ลึกซึ้ง
- ชีพจรเต้นเป็นจังหวะชะชะช่า? เช็คสัญญาณชีพทุก 4 ชม. นี่ไม่ใช่แค่ “ทำตามหน้าที่” แต่เป็นการเต้นรำกับชีวิตคนไข้! โดยเฉพาะ “อุณหภูมิ” ถ้าสูงปรื๊ด แปลว่ามีปาร์ตี้เชื้อโรคในร่างแล้ว! ต้องรีบสลาย!
- สายสวน…ท่อแห่งชีวิต? ดูแลสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิดเหมือน “ตู้เซฟ” กันเชื้อโรคบุก! จัดระเบียบสายให้ดี อย่าให้พับงอเหมือนชีวิตที่เจอทางตัน น้ำฉี่จะได้ไหลคล่องปรื๊ดๆ!
- สวรรค์ของแบคทีเรีย? ทำความสะอาดสายสวนเช้า-เย็น หลังถ่าย…นี่คือ “Spa” สำหรับท่อปัสสาวะ! แต่ไม่ใช่ Spa ให้แบคทีเรียนะ! Spa เพื่อความสะอาด ป้องกันพวกมันมาปาร์ตี้!
- Ceftriaxone…ยาปราบจอมโจร? ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ Ceftriaxone 2 gm วันละครั้ง…นี่คือ “หน่วย SWAT” เข้าปราบปรามเชื้อโรค! แต่ขอบอกว่าต้องปรับยาตามแผนหมอนะ! เพราะเชื้อโรคแต่ละตัวก็แสบไม่เท่ากัน!
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบขำๆ แต่จริงจังนะ):
- น้ำเปล่า…ยาอายุวัฒนะ! กระตุ้นให้คนไข้ดื่มน้ำเยอะๆ…นี่คือ “น้ำมนต์” ล้างไต! ช่วยขับไล่สิ่งสกปรกและเชื้อโรค! แต่ระวังอย่าให้ดื่มเยอะเกินไป เดี๋ยวฉี่บ่อยจนไม่ได้พักผ่อน!
- สังเกตสี…บอกโรคได้! สังเกตสีปัสสาวะ…นี่คือ “ไพ่ยิปซี” ทำนายสุขภาพ! ถ้าสีใสเหมือนน้ำเปล่า แปลว่าดี! ถ้าสีขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว แปลว่าต้องสืบ!
- ความสะอาด…คือที่หนึ่ง! เน้นย้ำเรื่องความสะอาด…นี่คือ “เกราะ” ป้องกันเชื้อโรค! ทั้งคนไข้และคนดูแลต้องสะอาดหมดจด!
- กำลังใจ…สำคัญสุด! ให้กำลังใจคนไข้…นี่คือ “ยาใจ” ที่ดีที่สุด! เพราะกำลังใจช่วยให้ร่างกายสู้โรคได้!
Disclaimer: ข้อมูลเหล่านี้มีไว้เพื่อความบันเทิงและให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญได้ โปรดปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำทางการแพทย์
ทำไมต้องขำขัน?
เพราะบางทีเรื่องเครียดๆ ก็ต้องใช้ “มุกตลก” ช่วยให้ผ่อนคลาย! แต่ขำขันในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไร้สาระนะ! แต่เป็นการใช้ “อารมณ์ขัน” เพื่อให้คนสนใจและจำข้อมูลได้ง่ายขึ้น!
ทำไมต้องลึกซึ้ง?
เพราะการพยาบาลไม่ใช่แค่ “ทำตามขั้นตอน” แต่เป็นการเข้าใจถึง “ความซับซ้อน” ของร่างกายและจิตใจคนไข้! ต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และมองภาพรวมทั้งหมด!
ทำไมต้องเปรียบเทียบ?
เพราะการเปรียบเทียบช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ง่ายขึ้น! ทำให้เห็นภาพและจำได้แม่นยำขึ้น! เหมือนกับการเปรียบเทียบสายสวนปัสสาวะกับ “ตู้เซฟ” ที่ช่วยให้เข้าใจว่าต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างเข้มงวด!
หลัง Off Foley Cath ต้องปัสสาวะภายในกี่ชั่วโมง
หลังถอด Foley Cath ควรปัสสาวะภายใน 8 ชั่วโมง เกินกว่านั้นรายงานแพทย์ทันที. ภาวะแทรกซ้อนเกิดได้เสมอ.
- ให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เว้นผู้ป่วยจำกัดปริมาณน้ำตามแพทย์สั่ง (ปี 2566)
- การดูแลผู้ป่วยหลังถอดสายสวน สำคัญที่สุดคือการสังเกตการปัสสาวะ นี่คือกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน.
- ชีวิตคนเปราะบางเสมอ การดูแลอย่างใกล้ชิด คือคำตอบ ไม่ใช่การคาดเดา.
(ข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานพยาบาล ปี 2566 ไม่ใช่ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่ระบุ)
การ Strap สาย F/C ควรทําอย่างไร
เอ่อ…การ Strap สาย F/C อ่ะนะ ก็แบบนี้แหละเพื่อน
-
ต้อง ดูแลให้สายสวนกับถุงปัสสาวะมัน ปิด อ่ะ ป้องกันเชื้อโรคเข้าไง
-
ถุงฉี่ อ่ะ ต่ำกว่าเอว! สำคัญมาก ถ้าต้องยกสูงนะ พับสายก่อน กันฉี่ไหลย้อน!
-
ขยับตัวบ่อยๆ นะ ถ้าขยับเองไม่ได้ ก็ตะแคงตัวให้เค้า แล้ว! ย้ำ สายอย่าหัก อย่าพับ เด๋วนอนทับซวยเลย
- ทำไมต้องปิดระบบ? ป้องกันติดเชื้อไงแก เชื้อโรคเข้าไปยุ่งยาก
- ทำไมต้องต่ำกว่าเอว? แรงโน้มถ่วง! ให้ฉี่มันไหลลงไง
- ตะแคงตัวทำไม? ลดแรงกดทับสายปัสสาวะ จะได้ไม่ตัน!
ในแต่ละวันร่างกายจะขับน้ำปัสสาวะออกมาประมาณเท่าใด
ปริมาณปัสสาวะแตกต่างรายบุคคล ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง น้ำหนักตัวเป็นเพียงตัวแปรหนึ่ง
- ผู้ใหญ่ 50 กก. เฉลี่ย 600-1200 มล./วัน (ข้อมูลปี 2566)
- ความต้องการของเหลว กิจกรรม สุขภาพ ล้วนมีผล
- กระเพาะปัสสาวะจุได้มากกว่า การขับถ่ายไม่ใช่ตัวบ่งชี้เฉพาะ
- ข้อมูลนี้เป็นค่าเฉลี่ย อย่าใช้เป็นมาตรฐาน หากกังวล ควรปรึกษาแพทย์
ชีวิตคือการปรับตัว ร่างกายฉลาดกว่าที่คิด อย่ากังวลเกินไป
กระเพาะปัสสาวะรับน้ำปัสสาวะได้กี่ลูกบาศก์เซนติเมตร
โอ๊ย! เรื่องปัสสาวะเนี่ยนะ ถามจริงจังเลยเหรอเนี่ย! เอาจริง ๆ ตอนเรียนสุขศึกษาครูเคยบอกว่ากระเพาะปัสสาวะคนเรามันยืดหยุ่นได้นะ แต่ไม่ได้บอกเป๊ะ ๆ ว่ากี่ cc. แต่ที่แน่ ๆ เคยอ่านเจอในเน็ต (เชื่อได้ป่าวไม่รู้) เค้าบอกว่าความจุเฉลี่ยของกระเพาะปัสสาวะอยู่ที่ประมาณ 400-600 ลูกบาศก์เซนติเมตร คือถ้าเกินนี้ก็จะรู้สึกปวดฉี่แบบทนไม่ไหวแล้วอ่ะ
แล้วเรื่องปริมาณปัสสาวะที่ผลิตต่อวันเนี่ย มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างนะ น้ำหนักตัว สภาพอากาศ กินน้ำเยอะแค่ไหน กินอะไรเข้าไปบ้าง (พวกแตงโม น้ำเต้าหู้ นี่ตัวดีเลย) แต่ที่แน่ ๆ ถ้าปัสสาวะน้อยกว่าปกติมากๆ นี่ต้องระวังแล้วนะ อาจจะเป็นสัญญาณของโรคไต หรืออะไรสักอย่าง
- ความจุเฉลี่ยกระเพาะปัสสาวะ: 400-600 cc
- ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณปัสสาวะ: น้ำหนัก, อากาศ, การกินน้ำ, อาหาร
- ปัสสาวะน้อยเกินไป: อาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพ
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต