ทำยังไงให้หายเป็นลมพิษ

16 การดู

เมื่อเกิดลมพิษ ควรเริ่มต้นด้วยการรับประทานยาแก้แพ้กลุ่มต้านฮีสตามีนที่ไม่ทำให้ง่วง เพื่อลดอาการคันและผื่นบวม หากอาการไม่ดีขึ้น สามารถใช้ยาทาสเตียรอยด์เฉพาะที่ หรือประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการคัน หากอาการรุนแรงหรือไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

ลมพิษคันไม่หยุด! รู้จักวิธีจัดการและป้องกันอย่างไรให้หายขาด

ลมพิษ หรือ Urticaria เป็นอาการแพ้ที่แสดงออกด้วยผื่นแดง บวม คันตามผิวหนัง ลักษณะคล้ายกับรอยไหม้จากแมลงสัตว์กัดต่อย บางครั้งอาจมีอาการบวมบริเวณผิวหนังลึก (angioedema) ร่วมด้วย แม้จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญและไม่สบายตัวอย่างมาก การรู้จักวิธีรับมือและป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ

สาเหตุของลมพิษนั้นหลากหลาย อาจเกิดจากการแพ้อาหาร เช่น นม ไข่ ถั่วลิสง อาหารทะเล หรือสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง ไรฝุ่น นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด ยาบางประเภท ความเครียด การติดเชื้อไวรัส หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษได้ การระบุสาเหตุที่แท้จริงนั้นสำคัญต่อการป้องกันการเกิดซ้ำ แต่บางครั้งก็หาสาเหตุไม่พบ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยเป็นลมพิษชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ

วิธีจัดการกับลมพิษเบื้องต้น:

เมื่อเกิดอาการลมพิษขึ้นมา ควรเริ่มต้นด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน โดยวิธีการดังนี้:

  1. รับประทานยาแก้แพ้ (Antihistamine): ยาแก้แพ้กลุ่มต้านฮีสตามีนที่ไม่ทำให้ง่วงซึม เป็นทางเลือกแรกที่แนะนำ หาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยทั่วไป ควรอ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และควรเลือกชนิดที่ไม่ทำให้ง่วงนอน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากกินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

  2. ประคบเย็น: การประคบเย็นบริเวณที่เป็นผื่นด้วยผ้าเย็นหรือน้ำแข็งห่อด้วยผ้า จะช่วยลดอาการบวมและคันได้ชั่วคราว

  3. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น: หากทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น อาหารบางชนิด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือรับประทานอาหารนั้นๆ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

  4. รักษาความสะอาด: รักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น

เมื่อใดควรไปพบแพทย์:

แม้ว่าลมพิษมักจะหายเองได้ภายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางกรณีที่ควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก:

  • อาการรุนแรง ผื่นบวมมาก หรือมีอาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น หรือคอ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ (angioedema)
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังจากรับประทานยาแก้แพ้แล้ว
  • มีไข้ร่วมด้วย
  • มีอาการลมพิษเรื้อรัง เป็นต่อเนื่องนานกว่า 6 สัปดาห์

การรักษาโดยแพทย์:

แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านฮีสตามีนชนิดอื่นๆ ยาสเตียรอยด์ หรือยาอื่นๆ ตามความรุนแรงของอาการ ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของการเกิดลมพิษ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

การป้องกัน:

การป้องกันลมพิษที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ทราบสาเหตุ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง จัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดโอกาสการเกิดลมพิษได้

ลมพิษแม้ดูเหมือนจะเป็นอาการเล็กน้อย แต่การรู้วิธีรับมือที่ถูกต้องและทันท่วงที จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงได้ อย่าลืมว่าการปรึกษาแพทย์เมื่ออาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับการรักษาที่ถูกต้องและหายเป็นปกติโดยเร็วที่สุด

#รักษา #ลมพิษ #อาการ