ทำไมอยู่ดีๆก็เจ็บคอ

เจ็บคอ…สาเหตุอะไรกันแน่? ไขความลับอาการไม่สบายที่พบได้บ่อย

อาการเจ็บคอ เป็นอาการที่คุ้นเคยสำหรับใครหลายๆ คน บางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว เจ็บจี๊ดๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรคอยขูดคออยู่ตลอดเวลา แต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังอาการเจ็บคอที่ดูธรรมดานี้ ซ่อนสาเหตุที่หลากหลายไว้ และการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เราเจ็บคอคือ การติดเชื้อไวรัส ซึ่งมักเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสอื่นๆ ที่สามารถติดต่อได้ง่าย อาการเจ็บคอจากไวรัสนี้มักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น จมูกน้ำมูกไหล ไอ มีไข้ ปวดเมื่อยตัว และโดยส่วนใหญ่แล้ว อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเองภายใน 3-7 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยบรรเทาอาการและเร่งให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะเจ็บคอไม่ได้เกิดจากไวรัสเพียงอย่างเดียว บางครั้งอาจเกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) หรือลำคออักเสบ (Pharyngitis) ซึ่งมักจะเจ็บคออย่างรุนแรง อาจมีไข้สูง มีหนองที่ลำคอ และอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา โดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและกำหนดวิธีการรักษาที่เหมาะสม การรักษาด้วยตัวเองอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามได้

นอกจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เจ็บคอได้อีก เช่น

• การแพ้ เช่น แพ้ละอองเกสร ฝุ่น หรือสารระคายเคืองอื่นๆ อาการเจ็บคอจากการแพ้มักมาพร้อมกับอาการคันจมูก น้ำมูกไหล และอาจมีอาการตาแดง คันตา ร่วมด้วย
• การระคายเคือง เช่น จากการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เยื่อบุในลำคออักเสบและเกิดอาการเจ็บคอได้
• การใช้เสียงมากเกินไป เช่น การร้องเพลง การพูดคุยเป็นเวลานาน หรือการตะโกน อาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคออักเสบและเกิดอาการเจ็บได้
• โรคกรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหารอาจไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารและทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก และอาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอได้เช่นกัน

ดังนั้น หากมีอาการเจ็บคอ ควรสังเกตอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก และความรุนแรงของอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-7 วัน หรือมีอาการรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง อย่าละเลยอาการเจ็บคอ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงได้

บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของท่าน