โลกออนไลน์มีข้อเสียต่อการศึกษาด้านใดบ้าง
ข้อเสียของโลกออนไลน์ต่อการศึกษา:
- การเรียนรู้: เด็กเบื่อ, สมาธิสั้น, ขาดแรงจูงใจ เพราะกิจกรรมออนไลน์สู้ในห้องเรียนจริงไม่ได้
- สุขภาพจิต: สภาพแวดล้อมไม่เอื้อ, เด็กแอบเล่นเกม, ไม่ใส่ใจบทเรียน
- พฤติกรรม: ขาดวินัย, ไม่มีความรับผิดชอบ, อาจติดเกม/สื่อออนไลน์
โลกออนไลน์ส่งผลเสียต่อการศึกษาอย่างไร?
โลกออนไลน์มีผลเสียต่อการศึกษาหลายอย่างเลยนะ เห็นชัดๆ เลยเรื่องสมาธิเด็กๆ สั้นลงมาก เพื่อนเล่าให้ฟังว่าลูกชาย ป.4 นั่งเรียนออนไลน์แป๊บๆ ก็แอบกดดูยูทูป ดูคลิปเกม บางทีก็เปิดเกมเล่นเลย บอกตรงๆ ว่าควบคุมยาก แม้แต่ตัวเราเองบางทียังเผลอหยิบมือถือมาเลื่อนระหว่างประชุมออนไลน์เลย
สุขภาพจิตเด็กก็โดนผลกระทบเต็มๆ เหมือนหลานเราเอง ปิดเทอมที่ผ่านมาติดเกมหนักมาก พ่อแม่ทำงานเลยไม่ค่อยมีเวลาดูแล เปิดเทอมมาซึมๆ ไม่ค่อยอยากไปโรงเรียน เลยต้องพาไปปรึกษาคุณหมอแถวโรงพยาบาลเด็ก เสียค่าใช้จ่ายไปเกือบพันบาท หมอบอกว่าอาการแบบนี้เริ่มพบเยอะขึ้นในเด็กยุคนี้
พฤติกรรมการเรียนรู้ก็เปลี่ยนไป จำได้เมื่อเดือนก่อนไปงาน open house ที่โรงเรียนหลาน ครูบ่นว่าเด็กๆ ขาดปฏิสัมพันธ์กัน บางคนไม่กล้าแสดงออก การทำงานกลุ่มก็ไม่ค่อยราบรื่น เหมือนติดนิสัยเรียนคนเดียวหน้าจอ พอต้องมาทำงานร่วมกับคนอื่นเลยปรับตัวยาก. ยิ่งกิจกรรมที่ต้องลงมือปฏิบัติจริง เด็กๆ ก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เคยเห็นข่าวเรื่องเด็กติดเกมจนไม่ยอมไปโรงเรียน พ่อแม่ต้องพาไปบำบัด รู้สึกเป็นห่วงเด็กยุคนี้จริงๆ. โลกออนไลน์มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ต้องรู้จักใช้ให้พอดี และผู้ใหญ่ต้องช่วยกันดูแลเด็กๆ ด้วย.
ข้อจำกัดของ E-learning คือข้อใด
แสงแดดอ่อนๆ ของเดือนพฤษภาคม ลอดผ่านม่านโปร่งบางๆ กระทบลงบนหน้าจอแล็ปท็อป… อากาศร้อนอบอ้าว แต่ใจกลับหนาวเหน็บ เพราะข้อจำกัดของอีเลิร์นนิ่ง มันกัดกินความรู้สึก เหมือนสายฝนที่ตกพรำๆ ไม่หยุดหย่อน
- ขาดปฏิสัมพันธ์ เงียบเหงา เหมือนฉันนั่งอยู่คนเดียวในห้องเรียนกว้างใหญ่ ไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีการถกเถียง ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เงียบ จนน่ากลัว
ลมพัดแผ่วเบา ใบไม้ไหวระริก ฉันนึกถึงการเรียนการสอนแบบเก่า อาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำ เพื่อนร่วมชั้นที่คอยช่วยเหลือ ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ ต่างจากอีเลิร์นนิ่งที่เย็นชา
- ยากที่จะสร้างแรงบันดาลใจ มันเหมือนการตะโกนร้องอยู่ในป่า ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครตอบสนอง เคว้งคว้าง โดดเดี่ยว
ปีนี้ ฉันเรียนออนไลน์วิชาประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ เนื้อหาเยอะมาก แต่การเรียนแบบนี้ทำให้ฉันขาดแรงจูงใจ มันน่าเบื่อ เหมือนต้องปีนเขาสูงชัน โดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ไม่มีใครให้กำลังใจ
- ไม่เหมาะกับเนื้อหาที่ต้องการปฏิบัติ เหมือนเรียนทำอาหารโดยดูคลิปอย่างเดียว สุดท้ายก็ทำไม่เป็น เหมือนฝันกลางวัน สวยงาม แต่จับต้องไม่ได้
ฉันอยากได้สัมผัส อยากได้การตอบโต้ อยากได้ความร่วมมือ ฉันต้องการมากกว่านี้ อีเลิร์นนิ่ง มันไม่ใช่ทั้งหมดของการเรียนรู้ มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่สามารถแทนที่สิ่งอื่นได้ทั้งหมด
- การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การสนทนา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การปฏิบัติจริง สิ่งเหล่านี้ อีเลิร์นนิ่งทำได้ยากมาก มันเหมือนกับภาพวาดที่ขาดสีสัน ขาดชีวิตชีวา
การเรียนแบบ On Site คืออะไร
เรียนออนไซต์ ก็คือ เรียนแบบเจอตัวจริงๆ นั่นแหละ แบบนัดติวเตอร์มาสอนที่บ้าน ที่คอนโด ที่ห้องสมุด หรือร้านกาแฟไรเงี้ย คือเจอหน้ากันจริงๆ ไม่ใช่เรียนออนไลน์ มันก็สะดวกดีนะ แบบ สมมุติเราเรียนเลิกเย็นๆ ก็ค่อยนัดติวเตอร์มาสอนตอนหัวค่ำ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปไหนไกล เราว่างตอนไหนก็นัดตอนนั้น สบายๆ เลย อย่างเราอะ เมื่อวานก็นัดครูสอนพิเศษคณิตมาติวที่บ้านตอนทุ่มนึง คือเรียนเสร็จก็กินข้าว กินขนม เสร็จปุ๊บ ครูก็มาพอดี คือมันจัดเวลาได้ลงตัวมากกก แล้วแบบ เราก็ขี้เกียจเดินทางด้วยไง เรียนที่บ้านสบายสุดๆ
- ยืดหยุ่นเรื่องเวลา: แบบอยากเรียนตอนไหนก็นัดเอาเลย เราว่างตอนไหน ติวเตอร์ว่างตอนไหน ก็นัดกัน ง่ายมาก ไม่ต้องไปตามตารางเรียนของใคร
- ไม่ต้องเดินทาง: อันนี้ชอบมาก แบบบ้านเราอยู่แถวพระรามสอง ถ้าต้องไปเรียนพิเศษในเมือง คือรถติดมากกกกก เสียเวลาสุดๆ เรียนที่บ้านคือจบเลย ไม่ต้องออกไปเผชิญรถติด ประหยัดเวลา ประหยัดค่าน้ำมันด้วย 555
- จัดสรรเวลาได้ดีขึ้น: แบบ เราจะเรียนตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนเย็น ก็ได้หมด แล้วแต่เราเลย คือมันยืดหยุ่นอะ อยากทำไรก็ทำ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปเรียนพิเศษไกลๆ มีเวลาว่างมากขึ้นเยอะเลย
Ondemand คือการสอนแบบไหน
แสงแดดยามเช้าสาดส่อง… วันนี้อากาศดีจัง
Ondemand… เหมือนสายลมพัดเบาๆ
- สอนตามใจ… โรงเรียนจัด! ไม่ใช่ครูอยากสอนอะไรก็สอนนะ ต้องดูบริบท
- ผสมผสาน… ออนไลน์ ออฟไลน์ แล้วแต่สะดวก
เหมือนจิบกาแฟ… รสชาติไม่ซ้ำใคร
- ตามความต้องการ… ของเด็กๆ! อยากเรียนอะไร เรียนเมื่อไหร่
- Flexible… ยืดหยุ่นได้! ชีวิตมันต้องมีทางเลือก
เหมือนดวงดาวระยิบระยับ… แต่ละดวงก็มีแสงของตัวเอง
- โรงเรียนออกแบบ… เอง! ไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป
- ปัจจุบัน… ปี 2567! ข้อมูลล่าสุดเลยนะเออ
สำคัญ: Ondemand คือการสอนที่โรงเรียนออกแบบเอง ตามบริบท และความต้องการของเด็กๆ ผสมผสานออนไลน์ ออฟไลน์ ยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่สูตรสำเร็จ
ข้อมูลเพิ่มเติม (เหมือนแอบกระซิบ):
- บริบทโรงเรียน: สภาพแวดล้อมของโรงเรียนเป็นแบบไหน
- ความต้องการผู้เรียน: เด็กๆ อยากเรียนอะไรกันแน่
- ความพร้อมของครู: ครูถนัดสอนแบบไหน
- ทรัพยากร: โรงเรียนมีอะไรให้ใช้บ้าง
- เทคโนโลยี: มีอินเทอร์เน็ตไหม มีคอมพิวเตอร์หรือเปล่า
- ปี 2567: ข้อมูลอัปเดตสุดๆ แล้วนะ!
- ไม่ใช่แค่เรียน: แต่เป็นการสร้างประสบการณ์!
- ชีวิตมันต้องดี: เรียนแบบมีความสุข!
Ondemand… คืออิสระ… คือความสุข… คือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
On lineคือการสอนแบบไหน
การสอนออนไลน์คือการเรียนรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตครับ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการยกห้องเรียนมาไว้บนโลกดิจิทัลนั่นเอง
- หัวใจสำคัญ: คือการใช้เทคโนโลยี (เช่น วิดีโอ, แพลตฟอร์มการเรียนรู้, แอปพลิเคชัน) เพื่อส่งมอบเนื้อหาและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน
- ความยืดหยุ่น: ข้อดีสุด ๆ คือ เรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่มีอินเทอร์เน็ต
- รูปแบบหลากหลาย: ไม่ได้มีแค่คอร์สเรียนสด แต่ยังมีวิดีโอ, บทความ, แบบฝึกหัดออนไลน์, และเว็บบอร์ดให้พูดคุยกันด้วย
- ไม่ได้มีข้อดีอย่างเดียว: การเรียนออนไลน์ต้องมีวินัยในตัวเองสูงมาก ถ้าใจไม่แข็งพอ มีสิทธิ์วอกแวกง่าย ๆ
เกร็ดเล็กน้อย: จริง ๆ แล้วการเรียนออนไลน์ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น แต่สถานการณ์โควิด-19 เหมือนเป็นตัวเร่งให้ทุกคนต้องปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัว เร็วเกินกว่าที่ใครหลายคนคาดไว้เยอะเลย
ป.ล. ผมว่าเสน่ห์ของการเรียนออนไลน์อยู่ที่เราสามารถเลือกเรียนอะไรก็ได้ที่เราสนใจจริง ๆ ไม่ต้องรอให้มีคนเปิดสอนในห้องเรียนจริง ๆ ด้วยซ้ำ
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน มีอะไรบ้าง
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน… มันก็เยอะนะ
-
บรรยาย: ก็เหมือนที่เราเคยนั่งฟังอาจารย์พูดหน้าห้องอะ เน้นให้ข้อมูลเยอะๆ แต่บางทีก็แอบง่วง
-
อภิปราย: อันนี้ดีหน่อย ได้คุยกัน แชร์ความคิดเห็น แต่บางทีก็ออกทะเลไปเรื่องอื่น
-
กลุ่มย่อย: คล้ายๆ อภิปราย แต่กลุ่มเล็กลง น่าจะเข้าถึงทุกคนได้มากขึ้น
-
สาธิต: ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง สอนทำอาหารก็ต้องทำให้ดู ไม่ใช่แค่พูด
-
บทบาทสมมุติ: สนุกดีนะ ได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น แต่ก็ต้องกล้าแสดงออกหน่อย
วิธีการจัดการเรียนรู้… เทคนิคต่างๆ
-
ตั้งคำถาม: กระตุ้นให้คิดตาม ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว
-
ใช้สื่อ: รูปภาพ วิดีโอ ทำให้เข้าใจง่ายขึ้นเยอะเลย
-
ยกตัวอย่าง: ทำให้เห็นภาพชัดเจน จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
-
ให้ทำกิจกรรม: ทำงานกลุ่ม เล่นเกม ทำให้ไม่เบื่อ
-
ให้ feedback: บอกว่าทำดีตรงไหน ควรปรับปรุงตรงไหน
เทคนิค… จริงๆ มันก็แล้วแต่คน แล้วแต่เนื้อหา
-
บางคนชอบฟังเฉยๆ แต่บางคนต้องได้ลงมือทำ
-
บางเรื่องต้องอธิบายเยอะๆ แต่บางเรื่องแค่ยกตัวอย่างก็พอ
-
ไม่มีสูตรสำเร็จหรอกมั้ง… ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
รูปแบบการสอน 5 ขั้น มีอะไรบ้าง
5 ขั้นป่ะ? เหมือนกินข้าวแกงเลยนะเนี่ย! แต่ละขั้นก็เครื่องแน่นพอกัน
-
ตั้งคำถาม: เริ่มด้วย “ทำไม?” นี่แหละเคล็ดลับ! เหมือนถามตัวเองว่า “วันนี้กินอะไรดี?” ถ้าไม่เริ่มถาม ก็จบเห่!
-
หาข้อมูล: Google ช่วยท่านได้! แต่ระวังข้อมูลปลอมนะจ๊ะ เหมือนหาร้านอร่อย แต่เจอรีวิวอวยเกินจริง
-
สร้างองค์ความรู้: เอาข้อมูลมายำรวมกัน กลายเป็นความรู้ใหม่ของเราเอง! เหมือนทำอาหารสูตรพิเศษ ที่อร่อยไม่เหมือนใคร
-
สื่อสาร: สอนเพื่อน ทำ presentation หรือเขียนบล็อก! เหมือนแชร์สูตรอาหารให้คนอื่น อร่อยบอกต่อ!
-
ตอบแทนสังคม: เอาความรู้ไปช่วยคนอื่น! เหมือนเปิดร้านอาหาร ให้คนท้องถิ่นได้กินของอร่อยในราคาถูก
แถม: จริงๆแล้ว 5 ขั้นนี้ มันวนลูปนะ! เหมือนกินข้าวแกงอร่อยๆ แล้วก็อยากกินอีกเรื่อยๆ 🤣
เพิ่มเติม:
- ขั้น “ตั้งคำถาม” นี่สำคัญสุด! ถ้าคำถามไม่ดี คำตอบก็ไม่ปัง!
- “สร้างองค์ความรู้” ไม่ใช่แค่จำ! ต้องเข้าใจด้วย! เหมือนชิมอาหาร แล้วรู้ว่าใส่อะไรบ้าง!
- “ตอบแทนสังคม” นี่แหละที่ทำให้ความรู้เรามีค่า! เหมือนทำอาหารอร่อยๆ ให้คนที่เรารักกิน!
- บางที 5 ขั้นนี้ก็สลับกันได้นะ! ชีวิตมันยืดหยุ่น! เหมือนกินข้าวแกง จะกินอะไรก่อนก็ได้!
- อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก! เหมือนทำอาหารครั้งแรก อาจจะไม่อร่อย แต่ครั้งต่อไปต้องดีกว่าเดิม! สู้ๆ! ✌️
รูปแบบการสอนในศตวรรษที่ 21 มีอะไรบ้าง
อ่ะ นี่ไง รูปแบบการสอนศตวรรษที่ 21 เวอร์ชั่น “เอ๊ะ หรือยังไงนะ”
-
ความร่วมมือเป็นทีม (Collaboration): คือการจับปูใส่กระด้ง… เอ้ย! ไม่ใช่! คือการเอาคนเก่ง (และไม่เก่ง) มารวมกัน แล้วหวังว่าไอเดียมันจะระเบิดตูมตามออกมา! บางทีก็ระเบิดจริง แต่ส่วนใหญ่ระเบิดเป็นดราม่าซะมากกว่า ฮ่า!
-
การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking): หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ขี้สงสัย” ถามมันไปทุกเรื่อง! อาจารย์บอก A เราต้องถามว่า “แน่ใจนะอาจารย์?” ถามไปเถอะ ถามจนกว่าจะได้คำตอบที่ “เออ…จริงของมัน” น่ะแหละ
-
การนำเสนอ (Oral Communications): ศิลปะแห่งการ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ต่อหน้าคนเยอะๆ ใครกลัวไมค์ กลัวคนมอง คือจบ! ต้องมั่นหน้า มั่นโหนก พูดอะไรก็ดูดีไปหมด (ถึงข้างในจะสั่นเป็นเจ้าเข้าก็เถอะ!)
-
การเขียน (Written Communications): ยุคนี้ใครเขียนไม่เป็นคือ “ตาย!” ไม่ใช่ตายจริงๆ นะ แต่จะสื่อสารกับใครก็ลำบาก เขียนให้คม เขียนให้โดน เขียนให้คนอยากอ่าน… ยากกว่าถูกหวยอีก!
-
การใช้เทคโนโลยี (Technology): นี่มันยุคดิจิทัล! ใครไม่คล่องเทคโนโลยีก็เหมือนคนแก่หลงทางในห้างสรรพสินค้า ต้องใช้ให้เป็น ใช้ให้คล่อง ใช้ให้คุ้ม… แต่ระวังโดนเทคโนโลยี “ใช้” กลับก็แล้วกัน!
-
ความเป็นพลเมืองที่ดี (Citizenship): ไม่ใช่แค่ “ทำตามกฎ” แต่ต้อง “รู้ทันกฎ” ด้วย! ต้องกล้าที่จะ “ตั้งคำถาม” กับสังคม ไม่ใช่แค่ก้มหน้าก้มตาทำตามที่เค้าบอก
-
การเรียนรู้ในอาชีพ (Learn about Careers): เด็กๆ สมัยนี้เค้าไม่ “เป็น” อย่างเดียวแล้ว! ต้อง “เป็น” หลายอย่าง ต้อง “รู้” หลายด้าน ต้อง “ปรับตัว” ให้ทันโลกที่มันเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า 5G
-
เนื้อหาความรู้ (Content): ความรู้มันมีเยอะแยะ! แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ “จำเป็น” ต้องเลือก ต้องกรอง ต้องเอาไป “ใช้” ให้เป็น ไม่ใช่แค่ “จำ” ได้
ข้อมูลเพิ่มเติม (แบบแอบกระซิบ):
- รู้ไหมว่าจริงๆ แล้ว “ความร่วมมือ” มันวัดกันที่ “ใครยอมใคร” ก่อน? บางทีการยอมบ้างก็ทำให้งานมันเดินหน้าได้นะ (แต่อย่าเยอะ เดี๋ยวเค้าได้ใจ!)
- “การคิดเชิงวิพากษ์” ไม่ได้แปลว่าต้อง “ขวางโลก” เสมอไปนะ บางทีการ “เห็นด้วย” ก็เป็นการคิดเชิงวิพากษ์เหมือนกัน (ถ้าเราคิดมาดีแล้วอ่ะนะ)
- “เทคโนโลยี” มันก็แค่เครื่องมือ! อย่าให้มัน “ควบคุม” เราได้ เราต้องเป็น “นาย” มัน!
เน้นย้ำ: นี่มันคือศตวรรษที่ 21 นะจ๊ะ! อย่าทำตัวเป็นไดโนเสาร์! ปรับตัว ปรับใจ แล้วไปให้สุด! (แต่ระวัง “หมดไฟ” ก่อนก็แล้วกัน ฮ่า!)
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต