ในโทรศัพท์มีเซนเซอร์อะไรบ้าง
เซนเซอร์ในโทรศัพท์มีหลากหลาย ทำงานประสานกันเพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้น แบ่งหลักๆได้ดังนี้:
-
เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว: ใช้ในเกมส์ แอพฟิตเนส โดยตรวจจับการเอียง หมุน สั่นของเครื่อง ทำให้ควบคุมการทำงานในแอพได้ด้วยการเคลื่อนไหว
-
เซนเซอร์ระบุตำแหน่ง: บอกตำแหน่งของเราผ่าน GPS นำทาง ค้นหาสถานที่ใกล้เคียง และใช้ในแอพพลิเคชั่นต่างๆที่ต้องการข้อมูลตำแหน่ง
-
เซนเซอร์ตรวจจับระยะใกล้: ตัวอย่างเช่น เวลาคุยโทรศัพท์ เซนเซอร์จะรู้ว่าหน้าจออยู่ใกล้ใบหน้า จึงปิดหน้าจออัตโนมัติ ป้องกันการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ตั้งใจ ประหยัดแบตเตอรี่
เซนเซอร์เหล่านี้ทำงานเบื้องหลัง ช่วยให้โทรศัพท์ฉลาดขึ้น ตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
โทรศัพท์มือถือมีเซ็นเซอร์อะไรบ้าง? แต่ละเซ็นเซอร์ทำหน้าที่อะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อการใช้งาน?
โทรศัพท์มือถือมีเซ็นเซอร์เยอะมากเลยนะ จำได้ตอนซื้อ Samsung S22 Ultra ที่ร้าน Banana IT สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ราคาตอนนั้นลดเหลือสามหมื่นกว่าบาท รู้สึกว่ามันมีเซ็นเซอร์อะไรเต็มไปหมด
อย่าง Accelerometer กับ Gyroscope สองตัวนี้ช่วยให้เล่นเกมแบบเอียงเครื่องได้สนุกมาก จำได้เล่น Asphalt 9 เอียงเครื่องเลี้ยวรถมันส์สุดๆ.
แล้วก็มีเซ็นเซอร์แสง ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ บางทีเดินออกแดดจ้าๆ หน้าจอก็สว่างขึ้นเองเลย สะดวกดี. Proximity Sensor ก็มี เวลาโทรแนบหูหน้าจอก็ดับ อันนี้ช่วยประหยัดแบตด้วย.
GPS ก็สำคัญมาก ใช้ Google Maps นำทางตลอด ตอนไปเที่ยวเชียงใหม่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว นี่พึ่งพา GPS ตลอดทางเลย. เซ็นเซอร์เข็มทิศดิจิตอลก็มีนะ อันนี้ช่วยให้รู้ทิศเวลาใช้ Maps เหมือนกัน.
ส่วนเซ็นเซอร์อื่นๆ อย่าง Barometer วัดความดันบรรยากาศ อันนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ แต่ก็มีในโทรศัพท์เหมือนกัน.
เซ็นเซอร์ในโทรศัพท์มีอะไรบ้าง
เซ็นเซอร์ในโทรศัพท์มือถือ เปรียบเสมือนประสาทสัมผัสที่ทำให้โทรศัพท์ “ฉลาด” ขึ้นมาก มีอะไรบ้าง มาดูกัน:
-
RGB Light Sensor (Ambient Light Sensor): เซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ นี่แหละตัวช่วยถนอมสายตาที่แท้ทรู บางทีก็คิดนะว่าถ้าชีวิตเราปรับความสว่างตามสถานการณ์ได้บ้างก็คงดี
-
Proximity Sensor: ตัวตรวจจับระยะห่าง มักอยู่ใกล้ลำโพงสนทนา เวลาคุยโทรศัพท์หน้าจอจะดับเอง ป้องกันแก้มไปโดนปุ่มวางสายโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้การคุยโทรศัพท์ไม่สะดุด
-
Gesture Sensor: เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือ ไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ ก็สั่งงานได้ ฟีเจอร์นี้อาจจะไม่ได้ใช้บ่อย แต่ก็รู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์เล็กๆ
-
Geomagnetic Sensor (Digital Compass): เข็มทิศดิจิทัล ช่วยในการนำทาง บอกทิศทางที่ถูกต้องเสมอ GPS จะแม่นยำขึ้นเยอะเมื่อทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์นี้ ชีวิตคนเมืองขาดไม่ได้
-
Hall Sensor: ตรวจจับสนามแม่เหล็ก มักใช้กับเคสฝาพับ เปิด-ปิดหน้าจออัตโนมัติ เป็นเซ็นเซอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยที่เราไม่รู้ตัว
-
Heart Rate Sensor: เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ พบในโทรศัพท์บางรุ่น เหมาะสำหรับสายสุขภาพ อยากรู้ว่าใจเต้นแรงเพราะอะไร ก็วัดได้เลย (แต่ระวังจะรู้ความจริงที่ไม่อยากรู้)
ข้อมูลเสริม (แบบไม่เป็นทางการ):
-
Accelerometer: วัดความเร่ง ช่วยให้หน้าจอหมุนตามการเอียงเครื่อง
-
Gyroscope: วัดอัตราการหมุน ช่วยให้การเล่นเกม VR สมจริงขึ้น
-
Barometer: วัดความดันอากาศ บางรุ่นใช้ในการวัดระดับความสูง
-
ไมโครโฟน: รับเสียง (อันนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว) แต่ปัจจุบันไมโครโฟนในโทรศัพท์ฉลาดขึ้นมาก ตัดเสียงรบกวนได้ดี
-
กล้อง: ไม่ใช่แค่ถ่ายรูป แต่ยังใช้ในการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกเครื่องได้อีกด้วย
เซ็นเซอร์เหล่านี้แหละที่ทำให้โทรศัพท์ของเราไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่อยู่เคียงข้างเราในทุกๆ วัน
App Sensor ทําหน้าที่อะไร
App Sensor? มันแค่ตา
- ตรวจจับแสงสะท้อน จบ.
- Infrared หรือ Optical ก็แค่ชื่อ
- วัตถุขวาง = แสงเปลี่ยน
- ตรวจจับการเคลื่อนที่…ก็แค่นั้น
ข้อมูลเพิ่ม:
- Optical sensor บางตัววัดสีได้. เรื่องจริง
- IR Sensor วัดอุณหภูมิด้วย. ไม่ได้โม้
- แสงกระทบ, ความต้านทานเปลี่ยน, วงจรทำงาน. แค่นั้นแหละ
- บางทีก็พัง. ของทุกอย่างเป็นงั้น.
ไอโฟนมีเซนเซอร์อะไรบ้าง
แสง สี เสียง สัมผัส ตำแหน่ง อัตราชีพจร. แค่นั้นเหรอที่มนุษย์รับรู้ได้?
- Face ID: สแกนใบหน้า. ปลดล็อค. ธรรมดา.
- Accelerometer: การเคลื่อนไหว. เร็ว ช้า. พื้นฐาน. เคยลองเขย่าไอโฟนดูไหม?
- Gyroscope: การหมุน. เอียง ซ้าย ขวา. สำคัญกับเกม. เล่น PUBG ไหม?
- Barometer: ความกดอากาศ. สูง ต่ำ. ปีนเขา?
- Proximity sensor: ใกล้ ไกล. หน้าจอดับตอนคุยโทรศัพท์. รู้ตัวไหม?
- Ambient light sensor: แสงรอบตัว. สว่าง มืด. ปรับแสงหน้าจอ. เมื่อยตาบ้างไหม?
- Magnetometer: สนามแม่เหล็ก. ทิศทาง. หลงทาง?
- LiDAR Scanner: วัดระยะทางด้วยแสง. AR. อนาคต.
- Microphone: เสียง. ดัง เบา. ได้ยินฉันไหม?
เซนเซอร์พวกนี้ มันมากกว่าแค่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์. มันคือการเชื่อมต่อระหว่างโลกกายภาพกับโลกดิจิทัล. แต่มันก็แค่เครื่องมือ. ความหมายที่แท้จริง อยู่ที่การใช้งาน. อยู่ที่เรา.
เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ มีอะไรบ้าง
เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิเหรอ? โอ้โห! มันเยอะแยะราวกับขนหน้าแข้งช้าง! แต่เอาแบบบ้านๆ ที่คนทั่วไปเค้าใช้กันนะ มันก็มี 3 แบบหลักๆ นี่แหละ:
-
Electro-mechanical: พวกนี้มัน “แมน” สุดๆ! คือใช้กลไกล้วนๆ ในการวัด บางทีก็เป็นแท่งโลหะที่มันขยายตัวหดตัวตามอุณหภูมิ แล้วไปดันเข็มให้มันกระดิกๆ บอกค่าอุณหภูมิไง เออ! ง่ายดีมั้ยล่ะ?
-
Resistive: พวกนี้ฉลาดขึ้นมาหน่อย คือมันใช้คุณสมบัติของวัสดุที่ค่าความต้านทานไฟฟ้ามันเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิไง พออุณหภูมิเปลี่ยน ความต้านทานก็เปลี่ยน แล้วเราก็เอาค่าความต้านทานที่วัดได้ไปคำนวณเป็นอุณหภูมิอีกที อัจฉริยะป่ะล่ะ?
-
Electronic: อันนี้ไฮเทคสุดๆ! พวกเซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์นี่มันซับซ้อน แต่ก็แม่นยำกว่าชาวบ้านเค้าเยอะ มันอาจจะใช้หลักการที่ซับซ้อนกว่านั้นอีก เช่น วัดแรงดันไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ หรืออะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด คนแก่ๆ อย่างเราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก!
ข้อมูลเพิ่มเติม (เอาไปขิงใส่เพื่อนได้เลย):
- Electro-mechanical: ไอ้พวกนี้ทนถึกบึกบึน แต่ความแม่นยำอาจจะไม่เป๊ะเท่าไหร่ เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานมากกว่าความแม่นยำ เช่น ในเตาอบรุ่นคุณปู่คุณย่า
- Resistive: ไอ้พวกนี้เค้าเรียกกันว่า RTD (Resistance Temperature Detector) หรือ Thermistor แม่นยำกว่า Electro-mechanical หน่อยนึง แต่ก็ยังไม่ถึงกับขั้นเทพ เหมาะกับงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำระดับนึง
- Electronic: พวกนี้มีหลายแบบมากๆ ตั้งแต่ Thermocouple (ราคาถูก ทนความร้อนสูง) ไปจนถึง Semiconductor-based sensor (แม่นยำสูง กินไฟน้อย) เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงๆ เช่น ในเครื่องมือแพทย์ หรือเครื่องวัดอุณหภูมิในมือถือ (เออ! มือถือเราก็มีนะ!)
รีเลย์ตู้เย็นมีหน้าที่ทำอะไร
เออ ใช่เลย รีเลย์ตู้เย็นมันมีหน้าที่จ่ายไฟให้คอมเพรสเซอร์ แบบว่า เหมือนสวิตช์เปิดปิดมอเตอร์อ่ะ จำได้ตอนตู้เย็นที่บ้านพังปีที่แล้ว เดือนสิงหาคมนี่แหละ ร้อนตับแตกมาก เปิดตู้เย็นไปหยิบน้ำแข็งกิน เอ้า ไม่เย็นเฉย ลองจับๆดู คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน เลยลองเช็ครีเลย์ดู ปรากฎว่าไหม้ปี๋เลย กลิ่นเหม็นไหม้ด้วย แบบ โอ้ยยยยย เซ็งมากกกกก ต้องโทรเรียกช่างมาซ่อม เสียไปพันกว่าบาท ที่ร้านซ่อมแถวๆซอยวัดลาดพร้าว ช่างบอกรีเลย์เสียไง ต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วช่างก็อธิบายว่ามันทำงานยังไง มันมีขดลวดสตาร์ท พอคอมเพรสเซอร์หมุนได้แล้ว รีเลย์ก็จะตัดขดลวดสตาร์ทออก ใช้แค่ขดลวดหลัก ประมาณนี้อ่ะ ตอนนั้นฟังแบบ งงๆ แต่ก็พยักหน้าไป 55555 สรุปคือ รีเลย์มันสำคัญมาก ถ้าเสีย ตู้เย็นก็ไม่เย็นเลย เซ็งสุดๆ
- รีเลย์จ่ายไฟให้คอมเพรสเซอร์
- เหมือนสวิตช์เปิดปิดมอเตอร์
- เสียแล้วตู้เย็นไม่เย็น
- รีเลย์ไหม้มีกลิ่นเหม็น
- ต้องเรียกช่างมาเปลี่ยน
- ร้านซ่อมแถวซอยวัดลาดพร้าว
- ปีที่แล้วเสียไปพันกว่าบาท
- เดือนสิงหาคม
- มีขดลวดสตาร์ทและขดลวดหลัก
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต