Proximity Sensor มีกี่ชนิด
พร็อกซิมิตี้เซนเซอร์จำแนกหลักๆได้ 2 ชนิด:
-
เหนี่ยวนำ (Inductive): ตรวจจับวัตถุโลหะโดยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นหรือความชื้นสูง ข้อดีคือ ทนทาน ราคาประหยัด
-
เก็บประจุ (Capacitive): ตรวจจับวัตถุได้หลากหลายชนิด ไม่จำกัดเฉพาะโลหะ ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความจุไฟฟ้า เหมาะกับวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ อาจได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
การเลือกใช้เซนเซอร์ขึ้นอยู่กับประเภทวัสดุที่จะตรวจจับ สภาพแวดล้อมการใช้งาน และความแม่นยำที่ต้องการ
เซ็นเซอร์ระยะใกล้มีกี่ประเภท?
เซ็นเซอร์ระยะใกล้เหรอ? อ้อ! ที่เคยเห็นในมือถือตอนคุยโทรศัพท์แล้วหน้าจอดับเองอ่ะนะ?
เท่าที่จำได้คร่าวๆ นะ มันจะมี 2 แบบหลักๆ เลยเว้ยแก
- แบบเหนี่ยวนำ (Inductive): อันนี้รู้สึกว่ามันจะตรวจจับพวกโลหะเท่านั้นนะ ถ้าจำไม่ผิด หลักการมันคือสร้างสนามแม่เหล็กแล้วดูการเปลี่ยนแปลงอะไรทำนองนั้นแหละ
- แบบเก็บประจุ (Capacitive): อันนี้จะตรวจจับได้กว้างกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นโลหะ พลาสติก แก้ว อะไรพวกนี้ก็ตรวจจับได้หมดเลยนะ น่าจะอาศัยการเปลี่ยนแปลงค่าความจุไฟฟ้าอะไรสักอย่าง
จริงๆ แล้วก็มีเซ็นเซอร์แบบอื่นอีกนะ ที่ใช้แสง หรือคลื่นเสียง แต่ถ้าเอาแบบเบสิกจริงๆ ก็คง 2 แบบนี้แหละ
เคยเห็นรูปเซ็นเซอร์แบบต่างๆ ในหนังสือของนวภัทรากับทวีพลเมื่อนานมาแล้วเหมือนกัน แต่จำรายละเอียดเป๊ะๆ ไม่ได้แล้วอ่ะ ประมาณปี 2555 มั้ง
ถ้าอยากรู้ลึกกว่านี้คงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเอาเองนะจ๊ะ
Proximity Sensor ใช้หลักการอะไรในการทำงาน
Proximity Sensor หรอ? เออ นึกออกเลย ตอนนั้นทำโปรเจคจบที่มหาลัย… ปี 65 ได้มั้ง (นานไปละ) อาจารย์ให้ทำระบบนับสต็อกสินค้าอัตโนมัติ
ไอ้ตัว proximity sensor ที่ใช้เนี่ย มันหลักการคือมัน สร้างสนามแม่เหล็ก เว้ย (ความถี่สูงด้วยนะ) แล้วพอมันมีเหล็ก (หรือโลหะอะไรก็ตาม) เข้ามาใกล้ๆ ไอ้สนามแม่เหล็กเนี่ยมันจะ เปลี่ยนแปลง ไปเลย ทำให้เรารู้ว่า “เฮ้ย! มีอะไรมาแล้วนะ”
ตอนนั้นโค้ดดิ้งกันหัวแทบแตก คือไอ้เซ็นเซอร์เนี่ยมันส่งค่ามาเป็นอนาล็อก เราต้องเอามาแปลงเป็นดิจิตอลก่อน แล้วก็ต้องตั้งค่า threshold ให้มันดีๆ ไม่งั้นมันจะ error มั่วไปหมด
สรุปคือ ถ้ามีโลหะมา สนามแม่เหล็กเปลี่ยน จบ! ง่ายๆ แค่นี้แหละ
- เรื่องที่ต้องระวัง:
- Threshold สำคัญมาก!
- วัสดุต้องเป็นโลหะ (หรือไม่ก็ต้องมีส่วนประกอบของโลหะ)
- ระยะตรวจจับมีผล
เซนเซอร์แสง มีกี่ประเภท
เซนเซอร์แสงเนี่ยนะ? เยอะแยะไปหมด! แบ่งยังไงก็ได้ แต่ถ้าจะให้ฮาๆ ลึกซึ้ง แบบฉบับปี 2566 ลองดูนี่สิ! ผมแบ่งเป็น 3 แบบหลักๆ ตามที่เคยเรียนมาสมัยเรียนวิศวะ (จริงๆ นะ ไม่ได้มั่ว!)
-
แบบแรก “จุ๊ๆๆ..แอบมอง” (Passive): นี่แหละตัวแสบ มันไม่ต้องส่งแสงเอง นั่งเฉยๆ รอรับแสงอย่างเดียว เหมือนสาวๆ รอหนุ่มๆ มาจีบ รอจนตาจะปิดแล้วก็ยังไม่มาซักที ประเภทนี้มีตั้งแต่ Photoresistor ตัวเล็กๆ ไปจนถึง CMOS image sensor ในกล้องสมาร์ทโฟนคุณนั่นแหละ มันรับแสงมาแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ง่ายๆ แต่เวิร์คสุดๆ
-
แบบที่สอง “แสงส่องทาง” (Active): ประเภทนี้มันแอคทีฟกว่า ส่งแสงออกไปเอง แล้วก็มารับแสงที่สะท้อนกลับมา เหมือนคุณส่งข้อความไปหาคนคุย แล้วรอลุ้นว่าเค้าจะตอบกลับมาหรือเปล่า มันวัดระยะทางได้ด้วยนะ ใช้กับระบบต่างๆ อย่างเช่น เซนเซอร์วัดระดับน้ำ หรือ ระบบตรวจจับสิ่งกีดขวางในรถยนต์ เจ๋งป่ะล่ะ
-
แบบที่สาม “แสงผ่านๆ ไป” (Fiber Optic): อันนี้ใช้เส้นใยแก้วนำแสง ส่งแสงผ่านไป แล้วตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสงที่ปลายทาง เหมือนส่งจดหมายรักผ่านไปรษณีย์ แล้วลุ้นว่าจะถึงมือคนรับมั้ย วิธีนี้แม่นยำสูง ใช้ในงานวิศวกรรมขั้นสูง หรืออุตสาหกรรมที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้าง หรือระบบการแพทย์
เห็นมั้ยล่ะ แค่เซนเซอร์แสงยังมีอะไรให้คิดเยอะแยะ ชีวิตนี่ช่างน่าสนใจ เหมือนกับการไขปริศนา แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ถ้าจะให้ดี ต้องเลือกให้เหมาะกับงาน ไม่งั้นก็เหมือนเลือกแฟน ต้องดูให้ดีๆ ไม่งั้นเจ็บตัวไม่รู้ด้วยนะ เอ้า! ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันต่อได้เลย!
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต