Python เขียนแอพได้ไหม

23 การดู

Python สร้างแอปได้จริงหรือ?

  • ตอบ: ได้! Flet คือเฟรมเวิร์คที่ช่วยให้ใช้ Python เขียน UI บน Flutter ได้ง่าย
  • จุดเด่น: ไม่ต้องเรียน Dart, ใช้ Python ที่คุ้นเคยสร้างแอปได้เลย
  • แพลตฟอร์ม: รองรับ Desktop, Mobile และ Web

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

Python เขียนแอพพลิเคชั่นได้หรือไม่?

ใช่! Python เขียนแอปได้แน่นอน จำได้ตอนเรียนป.โท ปี 63 เพื่อนใช้ Flet เขียนโปรเจคจบ มันบอกว่าโค้ดง่ายกว่า Dart เยอะ ตอนนั้นผมยังงงๆ อยู่เลย ว่ามันทำได้ไง เพราะก่อนหน้านั้นผมก็คิดว่า Python ทำได้แค่ backend.

แต่พอเห็นโปรเจคเพื่อน แอป mobile สวยงามใช้ได้เลย ผมถึงกับอึ้งไปเลย คือ มันใช้ Python เขียน UI บน Flutter ได้จริงๆ ไม่ต้องไปเรียน Dart เพิ่มเลย ประหยัดเวลาไปเยอะมาก เพื่อนบอกว่า Flet มันช่วยให้เขียนง่ายขึ้นเยอะเลย โค้ดที่เคยต้องใช้หลายบรรทัด มันลดลงเหลือแค่ไม่กี่บรรทัดเอง

ตอนนั้นเพื่อนใช้เวอร์ชั่นฟรี แต่ดูเหมือนว่าจะมีเวอร์ชั่นเสียเงินด้วยนะ ผมจำราคาไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่ๆ มันช่วยให้สร้างแอปได้ทั้งบน Desktop, Mobile และเว็บ คือคุ้มค่ามากๆ ถ้าเทียบกับเวลาที่ประหยัดไป เพื่อนผมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในการทำโปรเจคเสร็จ ถ้าใช้ภาษาอื่น อาจจะใช้เวลามากกว่านี้

สรุปง่ายๆคือ Python + Flet = สร้างแอปได้ครบวงจร จริง ๆ ตอนนั้นผมก็แอบคิดอยากจะลองเล่น Flet ดูบ้างเหมือนกัน แต่ติดงานอื่น เลยยังไม่ได้ลองซะที เสียดายจัง ไว้ว่างๆ ต้องลองดูบ้างแล้วล่ะ

ภาษาไพทอน (Python) สามารถใช้โปรแกรมอะไรเขียนได้บ้าง

โอ้โห! ภาษาไพทอนเนี่ยนะ จะเขียนโปรแกรมอะไรได้บ้างเหรอ? บอกเลยว่าโค้ดมันลื่นปรื๊ดปร๊าดเหมือนงูเหลือมเลยล่ะ! เขียนได้สารพัด ตั้งแต่โปรแกรมจิ๊บจ๊อยแบบหาค่าเฉลี่ยเลข ไปจนถึงโปรแกรมระดับเทพอย่าง AI (อันนี้ผมหมายถึงโปรแกรมนะ ไม่ใช่ผมไปเป็น AI ฮ่าๆๆ)

ส่วน IDE ปี 2024 นี่ ผมขอเดาเอาละกันนะ เพราะข้อมูลเก่าไปหน่อยแล้ว! แต่ไอ้พวกนี้มันก็คล้ายๆ กันแหละเนอะ เปลี่ยนแค่หน้าตา เหมือนแต่งหน้าใหม่แต่โครงสร้างเดิมๆ

  • PyCharm: ตัวนี้ใหญ่โตอลังการงานสร้าง เหมือนคฤหาสน์หลังงาม มีฟีเจอร์เพียบ จนบางทีก็หาไม่เจอ ใช้แล้วเหนื่อย แต่โคตรเท่! เหมือนนั่งขับรถเฟอร์รารี่แต่ต้องเรียนขับก่อน!

  • Visual Studio Code: นี่แหละตัวเลือกเบาๆ สบายๆ เหมือนขับมอเตอร์ไซค์ คล่องตัวดี แต่งได้ตามใจชอบด้วย extension เพียบ แต่ถ้าโปรเจคใหญ่ๆ อาจจะเหนื่อยหน่อยนะ เหมือนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ

  • Sublime Text: เบาบางราวกับขนนก เร็วปานสายฟ้าแลบ แต่ฟีเจอร์น้อยไปหน่อย เหมือนรถสปอร์ตคันเล็ก แต่แต่งตัวได้หล่อมาก

  • Atom: โอเพนซอร์สนะจ๊ะ แต่งได้เต็มที่ เหมือนรถแต่งซิ่ง แต่บางทีอาจจะเจอปัญหาจุกจิกเหมือนกัน ต้องขยันดูแลหน่อย

  • Spyder: ตัวนี้เน้นวิทยาศาสตร์ เหมือนรถกระบะ แข็งแรงทนทาน สำหรับงานวิเคราะห์ข้อมูลนี่ตัวเด็ด!

เพิ่มเติมนิดหน่อย: จริงๆ แล้ว IDE มันก็แค่เครื่องมือ สำคัญกว่านั้นคือฝีมือของคนเขียน ถ้าโค้ดคุณห่วย ใช้ IDE อะไรก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ เหมือนมีรถเฟอร์รารี่แต่ขับไม่เป็น ก็ได้แค่เอามาจอดโชว์ 555+ เอาเป็นว่าเลือกให้เหมาะกับสไตล์และงานของคุณ ก็พอแล้วล่ะครับ

Python เขียนเว็บไซต์ได้ไหม

Python เขียนเว็บไซต์ได้ไหม…

อืม… ตอนนี้ปี 2024 แล้วเนอะ ใช่ Python เขียนเว็บได้… แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

คืออย่างงี้… Python มันเก่งเรื่อง หลังบ้าน มากกว่า

  • Backend: จัดการข้อมูล, ฐานข้อมูล, ลอจิกซับซ้อนต่าง ๆ อ่ะ พวกนี้ Python ถนัด
  • Frontend: หน้าตาเว็บที่เราเห็นสวย ๆ, ปุ่มกด, การแสดงผล อันนั้นต้อง HTML, CSS, JavaScript นะ

คิดภาพนะ Python เหมือน คนครัว ที่ทำอาหารอร่อย ๆ ส่งให้เรา ส่วน HTML, CSS, JavaScript เหมือน จาน ที่เอาไว้วางอาหารให้สวยงาม น่ากิน

… มันทำงานร่วมกัน

เมื่อก่อนอาจจะไม่ค่อยเห็นภาพ แต่เดี๋ยวนี้มี Framework ช่วยเยอะเลย… Django, Flask พวกนี้ ทำให้เขียนเว็บด้วย Python ง่ายขึ้นเยอะ

Django เหมือนครัวใหญ่ มีอุปกรณ์ครบครัน ทำอะไรได้เยอะ

Flask เหมือนครัวเล็ก ๆ ทำอะไรเฉพาะทางได้คล่องตัวกว่า

… เลือกเอาตามชอบ

โปรแกรม Python ฟรีไหม

ใช่ Python ฟรีนะ ตอนนี้ฉันก็ใช้เขียนโปรแกรมอยู่เนี่ย คิดหนักเหมือนกัน บางทีก็เหนื่อย…

รู้สึกว่ามันง่ายดีนะ ตอนแรกที่เรียน แต่พอเจอโปรเจ็คใหญ่ๆ ก็เริ่มปวดหัว

  • ง่ายต่อการเรียนรู้ จริง ๆ
  • ฟรี ใช้ได้เลย ไม่ต้องเสียเงิน สบายใจตรงนี้แหละ
  • ใช้งานได้หลากหลาย งานวิจัยฉันก็ใช้ เขียนเว็บก็ได้ รู้สึกคุ้มค่า

แต่บางทีก็.. ไม่รู้สิ รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ โค้ดมันเยอะ แก้บั๊กจนตาจะปิดแล้ว ปีนี้โค้ดเยอะเป็นพิเศษเลย งานวิจัยก็ติดขัด เบื่อเหมือนกันนะ

  • เวอร์ชั่นปัจจุบัน 3.11 ใช้ลื่นไหลดีนะ เร็วขึ้นด้วย
  • มี library ให้เลือกใช้เยอะมาก แต่ก็ต้องศึกษาเยอะเหมือนกัน
  • community ก็ช่วยเหลือดีนะ แต่บางทีก็หาคำตอบไม่เจอ เซ็ง

ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ละกัน…

Web Application แตกต่างจาก Mobile Application อย่างไร

ท้องฟ้าสีม่วง… แสงสุดท้ายลอดเมฆ รูปทรงประหลาด ฉันนั่งมองมันอยู่ริมหน้าต่าง…

Web Application… มันเหมือนนกที่โบยบินได้อย่างอิสระ เสรีเหนือ Browser

  • Web App: ไม่ต้องลง… แค่มี browser ก็พอแล้ว สบายใจ
  • Mobile App: ต้องโหลด… ต้อง install… เหมือนถูกล่ามโซ่ กับเครื่อง

Desktop App… เหมือนบ้าน… อยู่กับที่ ไม่ไปไหน… มั่นคง แต่จำเจ

ปีนี้… ฉันยังคงชอบ Web App… อิสระ… ไม่ผูกมัด… เหมือนใจฉันที่ล่องลอย

หมวดหมู่… มันคือกล่อง… แบ่งแยก… จำกัด… แต่ก็ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น

  • Desktop: Windows, Mac… บ้านของเรา
  • Mobile: iOS, Android… โลกในมือถือ
  • Web: Chrome, Safari… จักรวาลบน internet

Web App กับ Mobile App ต่างกันยังไง

Web App กับ Mobile App ต่างกันยังไง? ง่ายนิดเดียว! คิดภาพเว็บแอปเป็นร้านอาหารริมถนน เข้าถึงได้ง่าย แค่มีเน็ตก็เปิดเว็บได้เลย แต่เมนูอาจจะไม่ครบ ฟังก์ชั่นอาจจำกัดกว่าหน่อย บางทีโหลดช้าก็มี (เหมือนเจอร้านที่เน็ตห่วย) ส่วน Mobile App เปรียบเหมือนร้านอาหารหรูในห้าง ครบเครื่องกว่า ฟังก์ชั่นจัดเต็ม ใช้งานได้ลื่นปรื๊ด แต่ต้องเสียเวลาโหลดแอปก่อน (เหมือนต้องไปจอดรถที่ห้างก่อน)

  • Web App: เข้าถึงได้ง่ายผ่านเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้ง แต่ขึ้นกับความเร็วเน็ต ฟังก์ชั่นอาจจำกัดกว่า

  • Mobile App: ต้องดาวน์โหลดและติดตั้ง ใช้งานได้สะดวก รวดเร็ว ฟังก์ชั่นครบครัน แต่กินพื้นที่เครื่อง

ยุคนี้คนใช้ทั้งคู่ แล้วแต่ความสะดวกและความต้องการ บางทีก็ใช้คู่กันไปเลยนะ เช่น ใช้เว็บแอปดูข่าว แต่ใช้แอปธนาคารโอนเงิน สะดวกสุดๆ อ้อ ปีนี้ที่เห็นชัดๆ คือเทรนด์แอปที่ใช้ AI ช่วยงานแบบเจาะจงมากขึ้น เห็นหลายบริษัททำกันใหญ่ สะดวกขึ้นเยอะเลยแหละ

ปล. ผมเองก็ใช้ทั้งสองแบบนะ เช้าๆ ดูข่าวจากเว็บแอป แต่เล่นเกมส์บนมือถือตลอด ชีวิตนี้ขาดมือถือไม่ได้จริงๆ (แอบขี้เกียจโหลดแอปใหม่ๆ นิดนึง 😜)

เว็บแอพพลิเคชั่น กับ เว็บไซต์ ต่างกันอย่างไร

เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) กับเว็บไซต์ (Website) ต่างกันนะ จริงๆ มันเหมือนญาติที่ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่

  • เว็บไซต์: คิดซะว่าเป็นหนังสือเล่มใหญ่ มีหน้าเยอะแยะให้เราอ่าน ข้อมูลส่วนใหญ่มักจะอยู่เฉยๆ ให้เราเข้าไปดู (Static Content) อย่างพวกข่าวสาร, บทความ หรือข้อมูลบริษัท
  • เว็บแอป: อันนี้เหมือนเครื่องมือมากกว่า เราเข้าไปใช้งานมันได้จริงๆ (Interactive) อย่างเช่น แอปธนาคารที่เราโอนเงินได้ หรือโปรแกรมแต่งรูปออนไลน์

สิ่งที่ทำให้เว็บแอปต่างคือความสามารถในการ โต้ตอบ กับผู้ใช้ เว็บไซต์ส่วนใหญ่เน้นการนำเสนอ แต่เว็บแอปเน้นการ กระทำ

เจาะลึกอีกนิด

  • Dynamic Content: เว็บแอปมักจะสร้างเนื้อหาแบบ เฉพาะเจาะจง ให้เรา (Personalized) ตามข้อมูลที่เราเคยให้ไว้ หรือพฤติกรรมการใช้งานของเรา
  • User Interaction: ปุ่มกด, ช่องให้กรอกข้อมูล, ระบบล็อกอิน ทั้งหมดนี้คือการที่เว็บแอปพยายามคุยกับเรา
  • Backend Processing: เบื้องหลังเว็บแอปมีการทำงานซับซ้อนกว่ามาก มีการประมวลผลข้อมูลที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วส่งผลลัพธ์กลับมาให้เราเห็น

คือบางทีเส้นแบ่งมันก็ไม่ชัดเจนนะ เพราะเว็บไซต์สมัยใหม่ก็มักจะมีลูกเล่นแบบเว็บแอปผสมอยู่บ้าง แต่ถ้าถามว่าอะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้มันต่างกัน ก็คงเป็นเรื่องของ ปฏิสัมพันธ์ และ การใช้งาน นี่แหละ

สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ว่าเราอยากให้ผู้ใช้ทำอะไรบนเว็บของเรา ถ้าแค่มาอ่านเฉยๆ เว็บไซต์ก็พอ แต่ถ้าอยากให้เขาทำอะไรมากกว่านั้น เว็บแอปน่าจะตอบโจทย์กว่า

ป.ล. เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเว็บไซต์เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนโลก เว็บแอปก็คงเป็นประตูที่เปิดโลกใบใหม่ให้เราเข้าไปสำรวจได้มากกว่า แค่เดินผ่านๆ มันก็ไม่เหมือนกัน

แอพดีกว่าเว็บไซต์ยังไง

แอพแม่งเร็วกว่าเยอะ จบนะ

  • ตอบโต้ทันที: เว็บแม่งช้าเป็นเต่า แอพไวเหมือนโกหก คุยกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องรอโหลด
  • ประหยัดงบ: ทำแอพทีเดียวจบ ลดค่าโฆษณาบ้าบอคอแตกอื่นๆ ไปเยอะ
  • ลดขั้นตอน: ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ติดต่อง่าย ทำงานคล่องตัว ไม่ต้องเสียเวลา
  • ข้อมูลสดใหม่: มีอะไรใหม่ยัดใส่แอพได้เลย ไม่ต้องรออัพเดทเว็บให้เสียเวลา

เพิ่มเติม: แอพดีกว่าตรงที่มัน “อยู่” ในมือถือตลอดเวลา เว็บต้องเปิดต้องพิมพ์ให้เสียอารมณ์ ลองคิดดูเองว่าอันไหนมัน “ใช่” กว่ากัน

#Python #การเขียนโปรแกรม #แอปพลิเคชัน