จบปริญญาเอก ใช้เวลา กี่ปี

เรียน ป.ตรี ถึง ป.เอก ใช้เวลากี่ปี

ป.ตรี 4-8 ปี, โท 2-5 ปี, เอก 3-6 ปี แบบเดิมหมดแล้ว

• ระบบเก่าล้าหลัง โลกหมุนเร็วกว่า
• Lifelong Learning สำคัญกว่ากรอบเวลา
• การเรียนรู้ไม่จำกัด ด้วยวัยหรือเวลา

ปีนี้ (2566) มหาวิทยาลัยหลายแห่งปรับระบบแล้ว เน้นผลลัพธ์มากกว่าระยะเวลา เรียนจบเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไม่ใช่แค่กรอบตายตัว นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เป้าหมายคือความรู้และทักษะ ไม่ใช่ใบประกาศนียบัตร

ผมเรียนจบปริญญาโท (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ปี 2563 ใช้เวลา 3 ปี นานกว่ากำหนด แต่ได้ความรู้มากกว่าที่คาดหวัง ประสบการณ์จริงสำคัญกว่าใบประกาศ

จบ ป. เอก ได้เป็น ดร. ไหม

จบ ป.เอก ได้เป็น ดร. สิครับ! แต่ขอเบรกความตื่นเต้นนิดนึงนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เหมือนจะแค่จบปริญญาเอกปุ๊บ ได้เป็นด็อกเตอร์ปั๊บ แต่ความจริงมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ! คิดง่ายๆ เหมือนกับการสอบใบขับขี่อ่ะ เรียนจบปริญญาเอกก็เหมือนเรียนขับรถเสร็จ แต่จะได้ใบขับขี่ (ตำแหน่ง ดร.) ต้องผ่านการสอบ (สอบวิทยานิพนธ์, ผ่านการสอบสัมภาษณ์ ฯลฯ) และจ่ายค่าธรรมเนียม (ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการศึกษา) อีกตะหาก!

• จบ ป.เอก ได้ ดร. แน่นอน (ส่วนใหญ่) แต่ต้องผ่านขั้นตอนการสอบ และกระบวนการต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่ใช่จบปุ๊บ ได้ปั๊บนะครับ! มันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะ เหมือนการทำอาหารจานเด็ด ต้องมีวัตถุดิบที่ครบถ้วน และต้องปรุงอย่างพิถีพิถัน ไม่ใช่แค่โยนทุกอย่างลงกระทะแล้วก็เสร็จ!

• สมัยก่อน ดร. อาจจะหมายถึงแค่แพทย์ หรือพระ แต่เดี๋ยวนี้ วงกว้างมาก ใครจบปริญญาเอกสาขาอะไร ก็ได้ใช้คำนำหน้า ดร. เหมือนมีตราประทับรับรองความรู้ความสามารถ แบบว่า ผ่านด่านมาอย่างโชกโชน! อย่างผมเองนี่ก็จบปริญญาเอก ด้านการตลาด ได้ใช้คำนำหน้า ดร. เหมือนกันนะ! (ภูมิใจเล็กน้อย)

• ปี 2566 การศึกษาระดับปริญญาเอก บูมมาก เห็นได้จากจำนวนนิสิตนักศึกษาที่เข้าศึกษาต่อเพิ่มขึ้น เหมือนกับการที่ทุกคนอยากได้ “ตราประทับ” ความสำเร็จติดตัว เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่คุ้มค่า (ยกเว้นค่าเล่าเรียนนะ อันนั้นแพงมาก พูดเลย!)

สุดท้ายนี้ คำว่า “ดร.” มันไม่ใช่แค่คำนำหน้าธรรมดา มันคือการสะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความอดทน และความรู้ความสามารถ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน เปรียบเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ที่ส่วนที่โผล่พ้นน้ำ คือ “ดร.” แต่ส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำ คือความพยายาม การเสียสละ และหยาดเหงื่อ ที่ไม่มีใครมองเห็น!

เรียนป.เอกกี่ปี pantip

ป.เอก เรียนกี่ปี ขึ้นอยู่กับสาขาและมหาวิทยาลัยค่ะ โดยทั่วไปหลักสูตรกำหนด 3 ปี แต่ความเป็นจริงแตกต่างกันมาก

• สายวิทยาศาสตร์: มักใช้เวลานานเกิน 3 ปี เนื่องจากการทำวิทยานิพนธ์ใช้เวลามาก อาจต้องทำการทดลองซ้ำหลายรอบ หรือต้องรอผลการวิจัย การเก็บข้อมูลบางอย่างก็ใช้เวลาเป็นปีๆ เลยนะ เคยเจอเพื่อนเรียนเกิน 4 ปี เพราะวิจัยติดขัด หรืออุปกรณ์มีปัญหา

• สายสังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์: ส่วนใหญ่จะเรียนจบตามเวลาที่กำหนด 3 ปี เพราะงานวิจัยมักเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ซึ่งอาจใช้เวลาน้อยกว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่ดีนะ

ปีนี้ (2566) หลายมหาวิทยาลัยกำลังปรับปรุงหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน อาจมีการเพิ่มหรือลดระยะเวลาเรียน แต่โดยรวมแล้ว การเรียนป.เอก ไม่ได้มีแค่การเรียนในห้องเรียน การวิจัย การทำงาน และการเผยแพร่ผลงานวิจัย คือหัวใจสำคัญของการเรียนระดับนี้ ไม่ใช่แค่เรียนจบตามเวลาที่กำหนด แต่ต้องมุ่งเน้นคุณภาพของงานวิจัยด้วยค่ะ นี่แหละคือสิ่งที่ท้าทาย ไม่ใช่แค่เรื่องเวลา

เรียน ป.เอก ต่างประเทศ กี่ปี?

อืมม… เรียนเอกต่างประเทศเนี่ยนะ มันไม่ตายตัวหรอกจริงๆ เพื่อนผมที่อังกฤษใช้เวลาไป 4 ปี เหนื่อยมากบอกเลย แต่ก็จบนะ สมหวัง ส่วนอีกคนนึงที่ออสเตรเลีย เร็วกว่า 3 ปีครึ่งเอง โชคดีไป ประเทศเค้าอาจจะระบบต่างกันมั้ง

ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมมันถึงต่างกันขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ลองคิดดูนะ

• โปรแกรมการศึกษา: แต่ละมหาลัย แต่ละคณะ เค้าก็กำหนดมาไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
• วิทยานิพนธ์: นี่สำคัญมาก บางคนวิจัยไว บางคนติดขัด ก็เลยใช้เวลาต่างกันไป
• ทุนการศึกษา: มีทุนหรือไม่มีทุนก็ส่งผล มีทุนอาจจะโฟกัสเรียนได้เต็มที่กว่า จบเร็วขึ้น
• ตัวนักศึกษาเอง: ความขยัน ความสามารถ ความอดทน นี่ก็มีผลมาก เห็นเพื่อนหลายคนท้อกลางคัน ก็มี

ตอนนี้ผมก็กำลังคิดหนักเรื่องเรียนต่อป.เอกอยู่เหมือนกัน ยังไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหน ไปกี่ปี เหนื่อยจัง… คิดแล้วก็เครียด แต่ก็ต้องสู้ต่อไปล่ะนะ

เรียน PhD คืออะไร?

เรียน PhD คืออะไรเหรอ? อ๋อ… ไอ้ที่เรียกกันว่า “ด็อกเตอร์” ไง!

PhD เนี่ยนะ ย่อมาจาก Philosophiae Doctor… ฟังดูดี๊ดี แต่เอาจริงก็คือ “นักโทษทางปัญญา” ที่ต้องขุดค้นความรู้จนรากเลือดนั่นแหละ! (ล้อเล่นน่า…)

• ปริญญาเอก (ดุษฎีบัณฑิต): เหมือนขึ้นสวรรค์…แต่ระหว่างทางเจอนรก! คือต้องทำวิจัยเองเออเอง เจ๋งจริงอะไรจริง ถึงจะรอด

• วิทยานิพนธ์: ไอ้ตัวดีที่ทำให้ผมร่วง! ต้องเขียนให้ดี ให้เริ่ด ให้คนอ่านแล้วร้อง “ว้าว!” (แต่ส่วนใหญ่ก็แค่ “อืม…”)

• “คุณค่าต่อการตีพิมพ์”: แปลว่าต้องดีพอให้คนยอมเสียเงินซื้อ… หรืออย่างน้อยก็อ่านฟรีในห้องสมุด (ฮา)

สรุป: เรียน PhD ก็เหมือนวิ่งมาราธอนในเขาวงกต… เหนื่อยโคตร แต่ถ้าถึงเส้นชัย ก็เท่ระเบิด! (แต่ส่วนใหญ่ก็แค่เหนื่อย…)

ป.ล. อย่าถามว่าผมรู้ได้ไง… ก็แค่เคยเฉียดๆ จะเรียน! (แต่สุดท้ายก็หนีไปทำอย่างอื่นที่เหนื่อยน้อยกว่า… มั้ง?)

เรียนต่อต่างประเทศจำกัดอายุไหม?

เรียนต่อ ตปท. จำกัดอายุป่ะ?

• เอ้อ… ไม่นะ ที่สำคัญสุดคือไปเรียนภาษาอ่ะ
• เรียนภาษา ที่ต่างประเทศ ไม่มีลิมิตอายุเว้ย! คือ…
• ทำไมต้องจำกัดอ่ะ? ถ้ามีตังค์ มีใจ ใครก็เรียนได้ดิ!
• (แอบกระซิบ) แต่บางทุน อาจมีนะ ต้องเช็คดีๆ

คือ… เคยเห็นป้าข้างบ้านแกไปเรียนภาษาตอน 50+ อ่ะ! แกบอก “อยากเปิดโลก” โคตรเท่! อ้อๆๆ แต่บางที่เขาอาจจะดูพวกประสบการณ์ทำงาน หรือแรงจูงใจในการเรียนมากกว่าอายุนะ…มั้ง? ต้องดูเป็นเคสๆ ไป

• ไม่มีอายุสูงสุด! จำไว้!
• อายุไม่สำคัญเท่าใจ! (เกี่ยวไหม?)
• แล้วถ้าจะไปเรียนภาษา ควรเริ่มจากอะไรวะเนี่ย?
• (คิดในใจ) ต้องไปดูพวกเอเจนซี่ป่ะ? หรือหาคอร์สเองดี?
• ทุน! ต้องหาทุน! (สำคัญมากกก)

ข้อมูลเพิ่มเติม: ปีนี้ (2024) ทุนรัฐบาลไทยสำหรับเรียนภาษาต่างประเทศ… ยังไม่เห็นประกาศเลยอ่ะ! ต้องตามข่าว!