ทำไมกินโกโก้แล้วนอนไม่หลับ

โกโก้สุขภาพดี แต่ทำไมดื่มแล้วนอนไม่หลับ? ไขความลับจากธีโอโบรมีน

โกโก้ เครื่องดื่มสีน้ำตาลเข้มหอมกรุ่น มักถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโกโก้ปราศจากน้ำตาลและไขมันเพิ่ม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและสมอง แต่ทว่า แม้จะมีคุณประโยชน์มากมาย หลายคนกลับพบว่าการดื่มโกโก้ก่อนนอนนั้นส่งผลให้หลับยาก นอนไม่สนิท หรือตื่นกลางดึก นี่คือคำตอบ

ความลับอยู่ที่ “ธีโอโบรมีน” (Theobromine) สารประกอบอัลคาลอยด์ที่พบในเมล็ดโกโก้ แม้จะมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทน้อยกว่าคาเฟอีน แต่ก็ยังมีผลต่อการทำงานของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และเพิ่มความตื่นตัว ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าที่ธีโอโบรมีนสร้างขึ้นนี้ อาจรบกวนการหลับ ทำให้คุณนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริโภคโกโก้ในปริมาณมาก หรือดื่มใกล้เวลานอน

ปริมาณธีโอโบรมีนในโกโก้จะแตกต่างกันไปตามชนิดและการแปรรูป โกโก้ที่เข้มข้น หรือโกโก้ที่ผ่านการแปรรูปน้อย มักจะมีปริมาณธีโอโบรมีนสูงกว่า ดังนั้น ผู้ที่ไวต่อสารกระตุ้น หรือมีปัญหาเรื่องการนอนหลับอยู่แล้ว ควรระมัดระวังในการบริโภคโกโก้ และควรเลือกโกโก้ที่มีปริมาณธีโอโบรมีนต่ำ หรือลดปริมาณการดื่มลง

นอกจากธีโอโบรมีนแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ก็อาจมีส่วนทำให้โกโก้ส่งผลต่อการนอนหลับได้ เช่น ปริมาณน้ำตาล หากโกโก้ที่ดื่มมีน้ำตาลสูง ก็อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นๆ ลงๆ ส่งผลให้การนอนหลับไม่เป็นปกติได้ หรือแม้แต่ความร้อนของโกโก้ หากดื่มในอุณหภูมิที่สูงเกินไป ก็อาจกระตุ้นร่างกาย ทำให้หลับยากขึ้นได้

ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากโกโก้โดยไม่กระทบต่อการนอนหลับ ควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้:

• เลือกโกโก้ปราศจากน้ำตาลหรือมีน้ำตาลต่ำ: ช่วยลดผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด
• ดื่มโกโก้ในปริมาณที่พอเหมาะ: อย่าดื่มมากเกินไป เพื่อลดปริมาณธีโอโบรมีนที่รับเข้าไป
• ดื่มโกโก้ก่อนนอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง: ให้เวลาร่างกายเผาผลาญธีโอโบรมีนก่อนนอน
• ดื่มโกโก้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม: ไม่ควรดื่มโกโก้ร้อนจัดก่อนนอน

การดื่มโกโก้ ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ แต่การบริโภคอย่างรู้เท่าทัน และคำนึงถึงปริมาณ เวลา และชนิดของโกโก้ จะช่วยให้คุณได้ทั้งสุขภาพที่ดี และการนอนหลับที่สนิท และพักผ่อนอย่างเต็มที่