รูปแบบการชำระเงินมีกี่ประเภท
รูปแบบการชำระเงิน:
- หลากหลาย: เงินสด, โอนเงิน, บัตรเดบิต/เครดิต, e-Wallet, QR Code, คริปโต, ผ่อน, ตัดบัญชี, เช็ค
- เลือกตามสะดวก: แต่ละวิธีเหมาะกับสถานการณ์และความถนัด
- สำคัญ: ปลอดภัยและตรวจสอบความถูกต้องเสมอ
ช่องทางการชำระเงินออนไลน์มีกี่แบบ? เลือกวิธีจ่ายเงินที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ
โอ้โห ช่องทางจ่ายเงินออนไลน์เนี่ยนะ ถามจริงมีกี่แบบ? เยอะ! เยอะมากกก (ลากเสียงยาวๆ) คือ เอาจริงๆ นะ บางทีฉันเองยังงงเลยอ่ะ แบบตามไม่ทัน
เอาที่นึกออกตอนนี้เลยนะ ก็มีพวกจ่ายสด (อันนี้ก็ต้องไปเคาน์เตอร์เซอร์วิสไรงี้), โอนเงินธนาคาร อันนี้เบสิคสุดๆ, บัตรเดบิตเครดิต, e-Wallet ทั้งหลายแหล่ (TrueMoney, Rabbit LINE Pay อะไรพวกนี้), QR Code (อันนี้มาแรง), คริปโต (เริ่มเห็นคนใช้กันบ้างแล้ว), ผ่อนจ่าย (อันนี้สำหรับของแพงๆ), ตัดบัญชีอัตโนมัติ (พวกจ่ายบิลรายเดือน), เช็ค (อันนี้ยังใช้อยู่ป่าวอ่ะ?).
แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันแหละ ต้องดูว่าลูกค้าเราสะดวกแบบไหน แล้วเราก็ต้องดูว่าค่าธรรมเนียมเป็นยังไง คุ้มมั้ยกับธุรกิจเรา แล้วก็เรื่องความปลอดภัยด้วยนะ สำคัญมากกก อย่าลืมเช็คให้ดีก่อนใช้จริง!
เทอมการชําระเงิน มีอะไรบ้าง
อืมม.. คิดหนักเลยนะ เรื่องเงื่อนไขการจ่ายเงินนี่ มันมีหลายแบบจริงๆ ตอนนี้ฉันนอนไม่หลับเลย เพราะงานที่บริษัทมันเยอะมาก เรื่องนี้สำคัญมากๆ สำหรับฉัน
แบบแรก ก็จ่ายก่อนเลย แบบ Cash in Advance นี่แหละ เอาเงินไปให้เค้าก่อน ถึงจะได้ของ อันนี้ชัวร์สุด แต่สำหรับเราที่เป็นผู้ซื้อ อาจจะเสี่ยงนิดนึง เพราะยังไม่เห็นของ
แบบที่สอง เปิดบัญชีเครดิต Open Account แบบนี้สบายหน่อย ได้ของก่อน ค่อยจ่ายทีหลัง แต่ต้องมีเครดิตดี เสียชื่อไม่ได้ เพราะถ้าจ่ายไม่ตรง ก็เดือดร้อนแน่ๆ ฉันเคยเจอ ลูกค้าจ่ายช้า ทำให้การเงินของบริษัทฉันลำบากมาก ปีนี้เลยเครียดเป็นพิเศษ
ส่วนแบบที่สาม ใช้ Bill for Collection ส่งเอกสารไปให้ธนาคาร ให้ธนาคารไปเก็บเงิน แบบนี้ก็ลดความเสี่ยง แต่ต้องใช้เวลา และธนาคารก็คิดค่าธรรมเนียม
สุดท้าย Letter of Credit หรือ L/C นี่ ซับซ้อนหน่อยนะ ต้องมีธนาคารค้ำประกัน เหมือนมีคนคอยช่วยดูแล ความเสี่ยงจะน้อยกว่าแบบอื่นๆ แต่ขั้นตอนเยอะมาก เอกสารก็เยอะตามไปด้วย คิดแล้วก็ปวดหัว
- Cash in Advance (CIA): จ่ายเงินก่อนได้รับสินค้า ความเสี่ยงต่ำสำหรับผู้ขาย
- Open Account (O/A): ได้รับสินค้าก่อน ค่อยชำระเงิน ต้องมีเครดิตดี
- Bill for Collection (B/C): ธนาคารเป็นตัวกลางในการเก็บเงิน ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย
- Letter of Credit (L/C): ธนาคารค้ำประกันการชำระเงิน มีความปลอดภัยสูง แต่ขั้นตอนซับซ้อน
เหนื่อยจัง พรุ่งนี้ต้องทำงานต่อ นอนดีกว่า
L/C กับ T/T ต่างกันอย่างไร
L/C กับ T/T ต่างกันฟ้ากับเหว L/C ปลอดภัยกว่า เหมาะกับธุรกิจใหญ่ ส่งของทางเรือ เสี่ยงน้อยกว่าแต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่า T/T เร็ว โอนเงินง่าย แต่เสี่ยงสูง เหมาะกับธุรกิจเล็กๆ ที่ไว้ใจกันได้ ปีนี้เจอเคสโกง T/T หลายรอบแล้ว ระวังตัวไว้ อย่าโลภมาก
-
L/C (Letter of Credit): เหมือนเช็คธนาคาร รับประกันการจ่ายเงิน ปลอดภัย ใช้กับ order ใหญ่ๆ ค่าธรรมเนียมสูงกว่า
-
T/T (Telegraphic Transfer): โอนเงินตรงๆ เร็ว แต่เสี่ยง ง่ายต่อการโกง ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
-
ข้อควรระวัง: ตรวจสอบบริษัทให้ดีก่อน อย่ารีบร้อน อย่าโลภมาก ปีนี้โดนโกง T/T มาแล้วสามเคส จำเอาไว้ เรื่องเงินเรื่องใหญ่
L/C กับ B/C ต่างกันอย่างไร
L/C (Letter of Credit) กับ B/C (Bill for Collection) ต่างกันตรงความเสี่ยงและการควบคุมการชำระเงิน L/C นี่เหมือนมีธนาคารมาเป็น “คนกลาง” ค้ำประกันการจ่ายเงิน ถ้าเอกสารถูกต้องตามเงื่อนไข ธนาคารจ่ายแน่นอน แต่ B/C ผู้ขาย (ส่งออก) ฝากเอกสารให้ธนาคารเรียกเก็บเงินจากผู้ซื้อ (นำเข้า) ความเสี่ยงเลยตกอยู่ที่ผู้ขายมากกว่า เพราะถ้าผู้ซื้อไม่จ่าย ธนาคารก็ทำอะไรไม่ได้มาก… เหมือนเราต้องวัดใจกันไปเลยนะ
- Letter of Credit (L/C):
- ความเสี่ยง: ต่ำกว่า B/C เพราะธนาคารรับประกันการชำระเงิน
- การควบคุม: ผู้ขายควบคุมได้มากกว่า เพราะถ้าเอกสารถูกต้อง ก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับเงิน
- ค่าธรรมเนียม: สูงกว่า B/C
- เหมาะกับ: การค้าระหว่างประเทศครั้งแรก หรือเมื่อผู้ซื้อมีความน่าเชื่อถือต่ำ
- Bill for Collection (B/C):
- ความเสี่ยง: สูงกว่า L/C เพราะผู้ขายต้องเชื่อใจผู้ซื้อว่าจะจ่ายเงิน
- การควบคุม: ผู้ขายควบคุมได้น้อยกว่า
- ค่าธรรมเนียม: ต่ำกว่า L/C
- เหมาะกับ: การค้ากับคู่ค้าที่ไว้ใจได้ หรือเมื่อต้องการลดต้นทุน
B/C นี่บางทีก็เหมือน “ดาบสองคม” นะ ถ้าผู้ซื้อไม่จ่ายขึ้นมา มันวุ่นวายกว่าเยอะเลย… แต่ถ้าทุกอย่างราบรื่น ก็ประหยัดค่าธรรมเนียมไปได้เยอะเหมือนกัน การเลือกใช้ก็เลยต้องดู “จังหวะ” และ “ความสัมพันธ์” เป็นหลัก… เหมือนการลงทุนแหละ ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็อาจสูงตาม แต่ก็ต้อง “ชั่งน้ำหนัก” ให้ดี ก่อนตัดสินใจ
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- L/C At Sight: จ่ายทันทีที่เอกสารถูกต้อง
- L/C Usance: มีระยะเวลาให้ผู้ซื้อชำระเงิน (เช่น 30 วัน, 60 วัน)
- ค่าธรรมเนียม L/C ปี 2567: อันนี้แล้วแต่ธนาคาร แต่ส่วนใหญ่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า L/C และมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำด้วยนะ
หมายเหตุ: ข้อมูลค่าธรรมเนียมอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบกับธนาคารโดยตรงเสมอ
D/P กับ D/A ต่างกันอย่างไร
D/P คือจ่ายก่อนได้เอกสาร D/A คือเซ็นรับหนี้ก่อนได้เอกสาร เข้าใจนะ?
ข้อมูลเพิ่มเติม:
- D/P: เสี่ยงน้อยกว่าสำหรับผู้ขาย ได้เงินชัวร์ก่อนส่งมอบกรรมสิทธิ์
- D/A: เสี่ยงกว่าสำหรับผู้ขาย ต้องเชื่อใจผู้ซื้อว่าจะจ่ายตามกำหนด
- ตั๋วแลกเงิน: คล้ายเช็ค แต่มีวันที่กำหนดจ่ายล่วงหน้า
- ผู้ซื้อ: ส่วนใหญ่เป็นผู้นำเข้าสินค้า
- ผู้ขาย: ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกสินค้า
- ธนาคาร: ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง คอยเก็บเงินและส่งมอบเอกสาร
จำไว้: D/P ปลอดภัยกว่า D/A จบนะ
ข้อเสนอแนะสำหรับคำตอบ:
ขอบคุณที่ให้ข้อเสนอแนะ! ข้อเสนอแนะของคุณมีความสำคัญต่อการปรับปรุงคำตอบในอนาคต