แอนติเจน (Antigen) กับแอนติบอดี (antibody) แตกต่างกันอย่างไร

17 การดู

อืมม... พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ แอนติเจนเป็นเหมือนศัตรูผู้บุกรุก มันอาจเป็นเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอมอะไรก็ได้ที่ทำให้ร่างกายเราตกใจ ส่วนแอนติบอดีน่ะ เปรียบเหมือนทหารที่ร่างกายเราฝึกฝนมาเพื่อจัดการกับศัตรูพวกนั้นโดยเฉพาะ! มันจะเข้าไปจับและกำจัดแอนติเจน ไม่ใช่ว่าแอนติเจนจะเป็นโปรตีนเสมอไปหรอกนะ มันอาจเป็นสารอื่นๆ ได้ด้วย จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะเลยล่ะ

ข้อเสนอแนะ 0 การถูกใจ

แอนติเจน vs. แอนติบอดี: คู่ปรับตลอดกาลในสงครามชีวิต (ฉบับเข้าใจง่ายสไตล์เพื่อนเล่า)

“แอนติเจน” กับ “แอนติบอดี” … แค่ชื่อก็ชวนปวดหัวแล้วใช่มั้ยล่ะ? แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยนะ! ลองจินตนาการตามที่เราเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ สบายๆ เหมือนนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟก็แล้วกัน

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นน่ะแหละ แอนติเจนก็เหมือน “ผู้ร้ายบุกบ้าน” หรือ “ศัตรูที่เข้ามาในร่างกายเรา” ซึ่ง “ผู้ร้าย” ที่ว่านี้อาจจะเป็นเชื้อโรคตัวร้ายอย่างไวรัสหวัดใหญ่, แบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสีย, หรือแม้กระทั่งสารเคมีบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ก็ได้ (เคยได้ยินเรื่องคนแพ้เกสรดอกไม้ไหม? เกสรดอกไม้นั่นแหละคือแอนติเจน!) ที่สำคัญคือมันเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ที่ร่างกายเราไม่คุ้นเคย และมองว่า “เฮ้ย! นี่มันอะไรเนี่ย! ต้องจัดการ!”

ทีนี้ ร่างกายเราก็ฉลาดใช่เล่น! พอมี “ผู้ร้าย” บุกเข้ามา มันไม่ได้ยืนงงเป็นไก่ตาแตกหรอกนะ แต่จะรีบส่ง “หน่วยรบพิเศษ” ออกมาจัดการทันที ซึ่งหน่วยรบพิเศษที่ว่าก็คือ “แอนติบอดี” นั่นเอง!

แอนติบอดี เปรียบเหมือน “ทหารกล้า” ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อรับมือกับศัตรูแต่ละประเภท (เหมือนหน่วย SWAT ที่ฝึกมาเพื่อจัดการกับอาชญากรโดยเฉพาะ) แอนติบอดีแต่ละชนิดจะถูกสร้างขึ้นมาให้มีรูปร่างที่เข้ากันได้กับแอนติเจนแต่ละชนิด เหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจเลยล่ะ! พอแอนติบอดีเจอแอนติเจนปุ๊บ ก็จะเข้าไป “ล็อค” หรือ “จับ” แอนติเจนไว้ ทำให้แอนติเจนไม่สามารถทำอันตรายร่างกายเราได้ จากนั้นก็จะส่งสัญญาณให้เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ เข้ามาจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดซากศพ (เอ่อ… ฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่เพื่อให้เห็นภาพไง!)

จุดที่น่าสนใจคือ:

  • แอนติเจนไม่ได้มีแค่โปรตีน: อย่างที่บอกไปแล้ว แอนติเจนอาจเป็นสารอะไรก็ได้ที่ร่างกายเรามองว่าเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, หรือแม้แต่สารเคมีบางชนิด
  • ความจำของระบบภูมิคุ้มกัน: นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องฉีดวัคซีน! วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายเรา “เรียนรู้” ว่าแอนติเจนบางชนิดมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เพื่อที่ว่าถ้าเราเจอแอนติเจนตัวจริง (เช่น เชื้อไวรัส) ร่างกายเราก็จะสามารถสร้างแอนติบอดีออกมาจัดการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น (เหมือนเราเคยเจอโจรมาก่อนแล้ว และรู้ว่าจะต้องรับมือยังไง!)
  • ไม่ใช่ทุกแอนติเจนจะอันตราย: บางครั้งร่างกายเราอาจจะตอบสนองต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสรดอกไม้ หรืออาหารบางชนิด จนเกิดเป็นอาการแพ้ได้ ซึ่งอาการแพ้ก็คือผลจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเรา “โอเวอร์แอ็คติ้ง” นั่นเอง!

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น:

สมมติว่าเราติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่:

  1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (แอนติเจน): บุกรุกเข้ามาในร่างกายเรา ทำให้เรามีอาการไข้, ไอ, เจ็บคอ
  2. ร่างกายสร้างแอนติบอดี: ร่างกายของเราจะเริ่มสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะเจาะจงกับไวรัสไข้หวัดใหญ่
  3. แอนติบอดีกำจัดไวรัส: แอนติบอดีจะเข้าไปจับไวรัสไข้หวัดใหญ่ ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่พันธุ์และทำอันตรายเซลล์ของเราได้
  4. หายจากไข้หวัดใหญ่: เมื่อไวรัสถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว เราก็จะหายจากไข้หวัดใหญ่

เห็นมั้ยล่ะ? เรื่องของแอนติเจนกับแอนติบอดีไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดเลย! มันก็แค่เรื่องราวของสงครามระหว่าง “ผู้ร้าย” กับ “ตำรวจ” ในร่างกายเรานั่นเอง! หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นนะ! ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม ถามมาได้เลยนะ ยินดีตอบเสมอ!

#ภูมิคุ้มกัน #แอนติบอดี #แอนติเจน